เมื่อวันอาทิตย์ที่ 20 มีนาคมที่ผ่านมา AT&T และ?Deutsche Telekom ยักษ์ใหญ่แห่งวงการโทรคมนาคมของโลกได้ออกมาประกาศร่วมกันว่ากำลังอยู่ในช่วงของการเจรจาในรายละเอียดของการเปิดให้ AT&T เข้าซื้อกิจการ T-Mobile ในสหรัฐอเมริกาด้วยมูลค่าของสัญญานี้กว่า 39,000 ล้านเหรียญ หรือราว 1.2 ล้านล้านบาท
การเข้าซื้อกิจการครั้งนี้จะทำให้ AT&T กลายเป็นผู้ให้บริการโทรคมนาคมรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐอเมริกาที่มีฐานลูกค้ากว่า 130 ล้านคน?และบริษัทหลังการควบรวมจะใช้ชื่อของ AT&T ในการทำการตลาด แต่กว่าจะทราบผลของการควบรวม?ทั้ง 2 บริษัทต้องผ่านการอนุมัติจากรัฐบาลก่อนซึ่งอาจจะใช้เวลาร่วม 12 เดือน แต่หากการควบรวมดังกล่าวล้มเหลว ผลที่ตามมาก็คือ AT&T จะต้องจ่ายค่ายกเลิกสัญญาให้ T-Mobile ถึง 3 พันล้านเหรียญรวมถึงยกคลื่นความถี่บางส่วนให้ T-Mobile ด้วย
เหตุผลทางกลยุทธ์เบื้องหลังการควบรวมในครั้งนี้มีดังนี้
- เพื่อสร้างความเข้มแข็งและขยายโครงสร้างบรอดแบนด์บนมือถือในสหรัฐอเมริกา
- เปิดทางให้มีการสร้างนวัตกรรมใหม่ของชาวอเมริกันและกระตุ้นการเติบโตให้อุตสาหกรรมไฮเทคของอเมริกา
- เพื่อให้เกิดการใช้คลื่นความถี่ของทั้ง 2 บริษัทให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
- AT&T จะขยายระบบ 4G LTE ให้ครอบคลุม 95% ของประชากรทั้งประเทศ ซึ่งรวมถึงพื้นที่ชนบทด้วย
- เปิดบริการ 4G LTE ให้กับลูกค้ากว่า 34 ล้านคนของ T-Mobile ด้วย
- จะพัฒนาคุณภาพและเพิ่มขีดจำกัดในการรองรับของบริการอย่างรวดเร็ว
- การควบรวมจะทำให้ T-Mobile ที่เคยเป็นของต่างชาติเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของอเมริกา
อย่างไรก็ดี ปัจจัยสำคัญหนึ่งที่ทำให้เกิดการควบรวมนี้ก็คือข้อจำกัดทางด้านความถี่ที่ AT&T กำลังเผชิญอยู่เนื่องจากการเติบโตที่สูงถึง ?8,000% ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาทำให้ AT&T ต้องการย่านความถี่เพิ่มเพื่อรองรับการขยายโครงข่าย 4G LTE นั่นเอง
สิ่งที่น่าจับตามองก็คือ การควบรวมครั้งนี้จะมีผลอย่างไรกับกลยุทธ์ที่ทำร่วมกับค่ายอื่นๆ เช่น การจำหน่าย iPhone ร่วมกับ Apple ที่เคยมีแค่ AT&T และ Verizon จะทำให้ Apple สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้อีกกว่า 34 ล้านคน หรือในทางตรงข้าม การจำหน่าย Android ก็จะเข้าถึงกลุ่มคนได้มากขึ้นเช่นกัน เรียกได้ว่าดีลนี้เป็นมากกว่าแค่การรวมของ 2 ผู้ให้บริการเท่านั้น ปีหน้ามาดูกันอีกทีครับว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร…
ที่มา:?Android and Me