หลายคนในแวดวงโฆษณาออนไลน์น่าจะรู้จักคำว่า Return on Investment (ROI) อยู่แล้ว แต่ก็ขอเอาคำนี้มาใส่ไว้หน่อยเพราะถือว่าเป็นคำสำคัญที่สุดคำหนึ่ง 😀
ที่จริงคำว่า ROI เป็นคำที่ใช้กันในหลายๆ วงการ แต่ว่าขอเอามาพูดถึงในเชิงของการทำแคมเปญโฆษณาออนไลน์เสียหน่อย เชื่อว่าเอเยนซี่ด้านดิจิตอลคงใช้กันประจำอยู่แล้ว เพราะเวลาลูกค้าลงเงินมาเป็นแคมเปญก็ต้องมีการวัดค่าตอบแทนจากการลงทุนนี้ว่าจ่ายค่าโฆษณาไปหลายแสนหลายล้านนั้นคุ้มหรือมีประสิทธิผลกับที่ลงทุนไปหรือไม่ เราเรียกเจ้ามาตรวัดตัวนี้ว่า Return on Investment หรือ ROI
การโฆษณาที่มีประสิทธิำภาพก็คือการโฆษณาที่มี Return on Investment (ROI) สูงสุด คุณจะได้ ROI สูงถ้าคุณจ่ายเงินน้อยสำหรับการโฆษณา แต่คุณยังขายของได้ดี ก็จะยังนับว่ามี ROI ที่สูงอยู่ดี ถ้าหากคุณพบว่าการที่คุณขายของได้มากนั้นมีสาเหตุมาจากการที่คุณทุ่มโฆษณาลงไป ถ้าคุณคำนวณค่าของ ROI ด้วยยอดขายและต้นทุนโฆษณา และมันน้อยกว่า 100% ก็เท่ากับโฆษณานั้นไม่คุ้ม ขาดทุน คราวหน้าต้องหาทางทำโฆษณาแบบอื่น
เจ้าคำว่า Return on Investment ครอบคลุมคำอื่นๆ ในแวดวง Online advertising ไปเกือบหมดเลยครับ อย่างคำว่า “CPC” (Cost per Click) “CPM” (cost per 1000 impressions (ต้นทุนต่อการแสดงผลพันครั้ง) ฯลฯ แต่ท้ายสุดมันก็จะกลับมาที่คำว่า ROI การที่เราจะได้ค่า ROI สูงๆ ในการทำโฆษณาออนไลน์ก็มีหลายแบบ ถ้าจะทำ Online advertising คุณก็จะต้องเลือกคีย์เวิร์ดหรือเลือกวางโฆษณาในสื่อออนไลน์ต่างๆ อย่างชาญฉลาด ดังนั้น ถ้าหากคุณยังใหม่กับการทำโฆษณาแบบนี้ คุณก็อาจจะเริ่มจากการคุยกับพวกบริษัท Advertising networks หรือสอบถามจากมืออาชีพด้านนี้
ตัวอย่าง:
ถ้าคุณขายของขวัญออนไลน์ จ่ายเงินค่า Google AdWords ไป 1,000 บาทในแต่ละเดือนเพื่อโฆษณา และในเดือนนั้นคุณได้ลูกค้ามา 5 คนที่ซื้อของคุณไป 10,000 บาท ดังนั้นค่า Return on Investment ก็จะเป็น 900% วิธีคิดก็ง่ายๆ ดูตามสมการข้างล่างนี้เลย
อย่างตัวอย่างข้างบนนี้ถ้าลองคิดดู ก็จะเป็นเอาเงินที่ได้มาจากลูกค้า ถือเป็นรายรับ 10,000 บาท ลบกับต้นทุนโฆษณา AdWords 1,000 บาท ก็จะได้ 9,000 เอา 9,000 ที่ได้มาหารด้วยต้นทุนโฆษณา 1,000 บาทอีกที แล้วคูณด้วย 100 ก็จะได้ออกมาเป็น 900% อย่างนี้เรียกว่าคุ้มมาก คืออย่างต่ำที่สุดต้องได้ 100% ถ้าต่ำกว่านั้นก็ถือว่าต้องหาทางใหม่
สำหรับรายละเอียดอื่นๆ ลึกๆ แนะนำให้ลองอ่านใน Incquity ดู
ที่มา: cpmcpc.com
ที่มาบางส่วน และภาพ: Incquity