ถือเป็นประเพณีไปเสียแล้ว สำหรับการประชุมนักพัฒนาระดับโลก Worldwide Developers Conference หรือคำย่อ?WWDC?2012 ที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีโดย Apple และเป็นที่รู้กันดีว่าในงานนี้จะมีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ของค่ายผลไม้นี้ ให้เหล่า “สาวก” ได้นั่งกลืนน้ำลายกัน ลองมาดูกันครับว่าในครั้งนี้มีอะไรที่ทาง Apple นำเสนอบ้าง
เริ่มเปิดงานมีการนำเสนอในรูปแบบใหม่ ซึ่งโดยปกติแล้วในยุคก่อนจะเป็น Steve Jobs หรือ Tim Cook ขึ้นมาเปิดงาน แต่กลับกลายเป็นว่าใช้ Siri เป็นผู้เริ่มต้นงาน ซึ่งสร้างความตกใจและขำขันกับผู้ที่เข้ารับฟังจากการทักทาย โดยมีการแสดงความสามารถต่างๆ บน iPhone และ iPad จากการสั่งงานด้วย Siri หลังจากนั้นทาง Tim Cook – CEO Apple ก็ได้เริ่มขึ้นมาเริ่มงานอย่างเป็นทางการจริงๆ
สำหรับงาน WWDC ถือเป็นครั้งที่ 23 แล้ว และสร้างสถิติในการขายบัตรใหม่ เพราะบัตรทั้งหมดถูกขายไปด้วยเวลาไม่ถึง 2 ชั่วโมง (ราคาบัตรอยู่ที่ $1,599 หรือประมาณ 50,000 บาท) ซึ่งในการประชุมครั้งนี้ นอกจากการเปิดตัวแล้ว ยังมี session สำหรับนักพัฒนาให้เข้าฟังกว่า 100 sessions และมีการทำแล็บกว่า 100 แล็บ และทาง Apple ปิดบริษัทเพื่อให้เหล่าวิศวกรกว่า 1000 คนมารวมกันอยู่ที่นี่
ก่อนที่จะนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ ถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติในการล้วงสถิติมาข่มคู่แข่งและเชิญชวนเหล่าผู้พัฒนาหันมาพัฒนาแอพพลิเคชันให้กับ Apple ซึ่งสถิติคร่าวๆ ตามภาพ
และมีคลิปแนะนำประโยชน์จากการพัฒนาแอพพลิเคชันจากวิดิโอ โดยเนื้อหาวิดิโอมีการใช้งานแอพพลิเคชันนำทางโดยผู้พิการทางสายตา, การสอนเรื่อง anatomy ให้กับเด็กระดับประถมด้วยการใช้แอพพลิเคชันบน iPad, เจ้าของเว็บไซต์แลกบ้านกันอยู่อย่าง Airbnb?ก็พูดถึงประโยชน์ที่ได้จากการพัฒนาแอพพลิเคชั่นจากเหล่าผู้พัฒนา และการใช้แอพพลิเคชันบน iPad สอนเด็กพูด
คราวนี้มาถึงที่สาวกรอคอยกับสิ่งที่นำมาเสนอ มีอยู่ 3 อย่างหลักได้แก่ Macbook (ในรูปเป็น Macbook Air), Mac OS X Mountain Lion และ iOS 6
The new line of Macbook
เริ่มกัน Macbook มีการอัพเกรดใหม่ทั้ง Macbook Air และ Macbook Pro โดย Macbook Air สิ่งที่เปลี่ยนไปคือ CPU ที่เริ่มต้นที่ Intel i5 และ i7 ตัวล่าสุด Ivy-Bridge ,ใช้ Flash Storage โดยสามารถเพิ่มได้ถึง 512GB ส่วนจุดเด่นที่ชูขึ้นมาคือ USB ที่มีการใช้เป็น USB 3.0 ซึ่งมีความเร็วกว่า USB 2.0 ที่ใช้กันอยู่ทั่วไปถึง 10 เท่า และกล้องหน้าที่ใช้สำหรับ Facetime หรือถ่ายภาพ ก็เปลี่ยนเป็น HD 720p แล้ว
สำหรับราคาเครื่องและรวมสเปค สามารถเปิดดูได้ที่หน้าเว็บ Apple Store ประเทศไทยได้เลยครับ และสั่งซื้อได้เลยทันที
ส่วน Macbook Pro ก็มีการใช้ CPU ทีเหมือนกับ Macbook Air ที่เปิดตัวพร้อมกัน โดยสิ่งที่เพิ่มขึ้นมาคือหน่วยการประมวลผลภาพหรือ GPU จะใช้ Nvidia GeForce GT 650M เฉพาะในรุ่นจอ 15 นิ้วเท่านั้น นอกเหนือจากนั้นจะคล้ายกับรุ่นก่อนหน้านี้แทบทั้งหมดสามารถสั่งซื้อเครื่องได้แล้วเช่นกันที่?Apple Store ประเทศไทย
และสิ่งที่หลายคนลุ้นว่าจะเป็นเหมือนกับที่มีข่าวลือมาก่อนหน้านี้หรือเปล่าในเรื่องจอภาพ …มันอยู่ใต้ผ้าคลุมสีดำ นั่นคือ Next generation of Macbook Pro
จุดเด่นของ Next gen Macbook Pro ที่ชัดเจนคือความบางซึ่งแทบจะเท่ากับ Macbook Air และที่สำคัญมีการเปลี่ยนการใช้จอด้วยเอาจอ Retina ที่เราคุ้นเคยบน iPhone 4/4S และ the new iPad มาไว้บน Macbook Pro ตัวใหม่ โดยมีความละเอียดของจอเมื่อเทียบกับจอปกติถึง 4 เท่า
สิ่งที่ Phil Schiller นำเสนอเพื่อแสดงพลังของ Macbook Pro จอเรตินา นั่นคือการนำซอฟท์แวร์ที่เกี่ยวข้องกับกราฟฟิคและการตัดต่อมาแสดงประสิทธิภาพให้ชม ได้แก่ Aperture, Final Cut Pro,?AutoCAD แถมมีเกมแห่งยุคอย่าง Diablo 3 มาให้ดูเสียด้วย โดย 3 ซอฟท์แวร์แรกออกเวอร์ชันล่าสุดเพื่อมารองรับจอเรตินาโดยเฉพาะ
ภายในเครื่องถูกออกแบบใหม่หมด เพื่อทำให้มีระบบการระบายอากาศ ทั้งนี้เพราะว่าจะต้องเจอกับปัญหาเรื่องความร้อนแน่นอน แต่ผู้ออกแบบก็ทำได้ออกมาอย่างดีแถมสวยอีกต่างหาก (ผมดูรูปแล้วเคลิ้มตาม) และด้วยการใช้งานที่ดูเน้นไปทางกราฟฟิค ดังนั้นเลยจัดฮาร์ดแวร์อย่าง CPU Intel i5 และ i7 quad-core และใช้การจัดเก็บข้อมูลเป็น Flash Storage เลย รวมทั้งใช้ชิปเซตแสดงผล?Nvidia GeForce GT 650M
สำหรับราคานั้นออกมาเป็น 2 รุ่นหลักคือ Intel i5เริ่มต้นที่ ?72,900 บาท และ i7 อยู่ที่ 92,900 บาท สั่งซื้อได้แล้วเช่นกันครับ (แพงใช้ได้เลย)
Mac OS X Mountain Lion
ตัวต่อไป Mac OS X Mountain Lion ซึ่งออกมาต่อยอดความสำเร็จจาก Lion เนื่องจากมียอดการใช้งานปัจจุบันมากถึง 40% ซึ่งใช้เวลาเพียง 9 เดือนเท่านั้น และเจ้าสิงโตภูเขานั้นออกมาเพื่อให้สอดคล้องกับการทำงานเป็น Ecosystem อย่างแท้จริง จึงอัดคุณสมบัติ iCloud ที่เราได้ใช้บน iPhone และ iPad มาอย่างเน้นๆ
Notification Center ที่รวมการเตือนต่างๆ สำหรับ Twitter สามารถกดที่ notification ก็สามารถทำการพิมพ์ข้อความทวิตหรือสามารถพูด (Dictation) ทวีตข้อความได้เลย และมีปุ่มแชร์ที่สามารถแชร์รูป, URL, วิดิโอและอื่นๆ ไปยัง ก็ถูกมารวมไว้ในนี้เช่นกันครับ (โลโก้ Twitter เป็นแบบใหม่แล้วด้วยครับ)
สิ่งต่อมาคือ Browser คู่บุญอย่าง Safari ที่มีวัดประสิทธิภาพของการประมวล JavaScript เมื่อเทียบกับ Browser เจ้าอื่นๆ ซึ่งก็แน่นอนว่าเร็วกว่าอยู่แล้ว และบน Safari จะมีปุ่ม iCloud Tabs เพื่อเอาไว้ใช้ในการ Sync การใช้ข้อมูลจากเครื่องที่ใช้ iOS ด้วย Apple ID เดียวกัน ตรงนี้ก็เป็น Ecosystem อีกแล้ว
เทคโนโลยีใหม่ที่ Apple เข็นมาแนะนำสำหรับ Mountain Lion ได้แก่ Power Nap ที่สามารถจะทำการอัพเดทข้อมูลต่างๆ หรือการสำรองข้อมูลสามารถทำได้ในขณะที่เครื่องอยู่ในโหมด Sleep แต่…เทคโนโลยีนี้ใช้ได้เฉพาะ Macbook Air รุ่นใหม่และ Macbook Pro รุ่นที่ใช้จอเรตินาเท่านั้น และมี AirPlay (ได้ใช้โดยไม่ต้อง Hack หรือลงแอพเพิ่มแล้ว ^^) เพื่อเอาขึ้นที่จอโทรทัศน์ผ่าน Apple TV
1 สิ่งที่ Apple ภูมิใจนำเสนอและถือเป็นบุกตลาดจีนโดยเฉพาะ ซึ่งสังเกตได้จากบริการเมลที่มีให้ครอบคลุมแทบจะทั้งหมดที่มีในจีน
สำหรับราคาของ Mountain Lion เพียง 19.99 เหรียญสหรัฐฯ เท่านั้นสำหรับการอัพเกรด ซึ่งราคาถูกกว่าตอนที่ Lion เปิดตัวโดยอยู่ที่ 29.99เหรียญสหรัฐฯ โดยจะเปิดขายอย่างเป็นทางการใน Mac App Store ในเดือนหน้าครับ ส่วนใครที่ซื้อ Mac ใหม่ตั้งแต่วันนี้ จะได้รับสิทธิในการอัพเกรดเป็น Mountain Lion ฟรีครับ
iOS 6
มาถึงตัวสุดท้ายแล้วครับ iOS 6 ที่ใครหลายคนรอคอยว่าจะมีอะไรใหม่บ้าง เช่นเดิมครับ ก็มีการแสดงสถิติของผู้ใช้งานปัจจุบัน ซึ่งมีการขายอุปกรณ์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ iOS 365 ล้านเครื่องแล้ว ข้อมูลนี้เก่าแล้ว ซึ่งตอนนี้น่าจะวิ่งเข้าใกล้ 400 ล้านแล้ว และไม่ลืมที่จะเปรียบเทียบ iOS กับ Android เวอร์ชันล่าสุดอย่าง Ice-Cream Sandwich 4.0 โดยมีสัดส่วนอย่างที่เห็นครับ
สำหรับคุณสมบัติใหม่ที่เพิ่มเข้ามาใน iOS 5 ได้แก่ Notification Center, Messages, Twitter และ Game Center มีการใช้งานมากมายมหาศาล ซึ่งก็แปรผันตามการใช้งานของการลง iOS ตามพายกราฟก่อนหน้า และยอดขาย iPhone 4 และ 4S นั่นเองครับ
ในทุกๆ มีการออก iOS ทุกปี และตอนนี้ก็ถึงเวลาของ iOS 6 แล้ว…
เริ่มต้นด้วยการพัฒนา Siri ที่มีข้อมูลเพื่อตอบคำถามมากขึ้นหรือฉลาดขึ้นนั้นเอง ไม่ว่าจะเป็นการถามผลการแข่งขันกีฬา, หาร้านอาหาร หรือหาข้อมูลภาพยนตร์ รวมไปถึงมีการแสดงผลของคำตอบนั้นดูสวยงามขึ้นกว่าในรุ่นก่อนเยอะมาก
อีกสิ่งที่เป็นการดันแปลงการใช้ Siri ซึ่งน่าจะเป็นการปฏิวัติวงการรถยนต์อีกครั้ง นั่นคือจะมีการเพิ่มสิ่งที่เรียกว่า Eyes Free ที่จะฝังกับรถยนต์เพื่อให้เรียกใช้งาน Siri ด้วยการกดปุ่ม และสามารถสั่งการได้ทันที โดยในขณะนี้ทาง Apple กำลังทำงานร่วมกับบริษัทผลิตรถยนต์ 9 ยี่ห้อ โดยจะมีออกมาให้เห็นเพื่อใช้งานกันจริงใน 12 เดือน อันนี้ต้องรอดูว่าจะใช้ได้ดีขนาดไหนครับ
และสุดท้าย Siri รองรับเพิ่มขึ้นจากเดิมเป็น 15 ภาษาแล้ว โดยมีประเทศในแถบเอเชียมากถึง 5 ประเทศ + 1 ออสเตรเลีย สำหรับไทย คงรอกันอีกนาน
Facebook – และแล้วเค้าก็มาตามข่าวลือ โดย Facebook นั้นจะถูกรวมไว้ใน iOS 6 จะมีลักษณะเหมือนตอนที่ Twitter ถูกรวมไว้ใน iOS 5 ซึ่งนั่นก็คือต่อไปนี้ เราสามารถเอารูปจาก Camera Rolls หรือการปักหมุดในแผนที่, app จาก iTunes Store และ Game Center สามารถเขียนขึ้นบน Facebook ได้เลยและสามารถกด Like ได้ทันทีเช่นกัน
อีกส่วนที่เพิ่มเข้ามานั่นคือการเพิ่มเงื่อนไขการรับสายวางสายให้มีมากขึ้น ซึ่งเราสามารถตอบกลับเป็นข้อความที่มีข้อความให้เลือกหรือจะตั้งให้เตือนได้ รวมทั้งมีคุณสมบัติใหม่อย่าง Do Not Disturb ไม่ให้มีการโทรกวนกลางดึก
Facetime คืออีกสิ่งที่ใครหลายคนรอมานาน (และบางคนอาจจะต้องผวา) เพราะ Facetime สามารถใช้งานผ่านระบบเครือข่ายโทรศัพท์ได้แล้ว แต่สิ่งที่ต้องระวังก็คือเรื่องจำนวนข้อมูลของแต่ละ package ที่เราสมัครด้วยนะครับ
Safari บน iOS มีส่วนที่เพิ่มเข้ามาซึ่งสอดคล้องกับ OS X Mountain Lion นั่นคือ iCloud Tabs และที่น่าดีใจสุดยอดนั่นคือ สามารถอัพโหลดรูปที่มีอยู่ใน Camera ได้แล้ว ^^
สำหรับ Cloud มีการเพิ่มเติมขึ้นมาอีกเล็กน้อยในด้านการแชร์รูป ซึ่งต่อยอดมาจาก Photo Streams ซึ่งใน iOS 6 มี Shared Photo Streams ซึ่งจะสามารถแชร์รูปที่อยู่ในเครื่องของเราให้กับเพื่อนได้ดูได้ รวมทั้งสามารถดูรูปจากคนที่แชร์มาให้เราโดยเฉพาะได้เช่นกัน และแน่นอนว่าเมื่อมี Facebook มารวมด้วย การกด Like ก็ย่อมมีให้ใช้งานด้วยเช่นกัน
ใน Mailbox จะมี VIP mailbox เพิ่มขึ้นมา ซึ่งเราสามารถระบุคนที่เราต้องการจะให้เครื่องที่ลง iOS 6 ได้แสดงผล notification มาเตือนเรา เพื่อไม่ให้เราพลาดในการติดตาม
Passbook คือการแก้ปัญหาของคนยุคปัจจุบันที่มีบัตรในกระเป๋าเยอะแยะ โดยใน iOS 6 จะมีการเก็บบันทึกข้อมูลบัตรของร้านต่างๆ ไว้ในแอพพลิเคชัน และเราสามารถแสดง Passbook ไว้จ่ายเงินแทนการพกบัตรหรือเงินสดครับ จุดนี้น่าสนใจเพราะเค้าไม่ต้องไปสนใจเรื่องเทคโนโลยี NFC ก็สามารถใช้ได้เลย และนอกจากนั้นยังสามารถตั้งเตือนได้เมื่อมีการเดินทางไปใกล้กับร้านที่มีอยู่ใน Passbook ด้วย
Maps หรือแผนที่บน iOS 6 เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ เพราะที่ผ่านมา Apple ใช้ Google Maps ในการใช้งาน แต่ใน iOS 6 นั้น Apple พัฒนาแผนที่ขึ้นมาใช้เอง ไม่ง้อ Google อีกต่อไป โดยในแผนที่จะมีการรายงานการจราจรในแบบ real-time อีกด้วย
นอกจากนี้ยังมีระบบการบอกเส้นทางไปยังปลายทาง โดยบอกเป็นแบบ?turn-by-turn navigation ซึ่งจะเหมือนๆ กับ Garmin, Tomtom แต่ที่เด็ดขึ้นมาคือการรวมเอา Siri มาช่วยในการหาตำแหน่งของร้านต่างๆ อีกด้วย
สำหรับอาทิตย์ที่ผ่านมา Google เพิ่งจะเปิดตัว Google Maps รุ่นใหม่ล่าสุด?ที่เป็นระบบ 3 มิติ ในเมื่อ Apple ประกาศหย่ากันอย่างเป็นทางการ ก็เลยทำ 3D ขึ้นมาใช้เองเช่นกันครับ ด้วยระบบที่เรียกว่า Flyover ซึ่งเป็นการเก็บภาพในมุมสูงและแสดงรายละเอียดได้ดีมากด้วยการใช้เครื่องมือจับภาพของทาง Apple
และนี่คือ iOS 6…ตอนนี้ยังอยู่ในช่วงการพัฒนาโดยใครที่มี developer account สามารถ download มาใช้งานได้แล้ว ส่วนการเปิดให้ใช้งานจริงคงต้องรอในฤดูใบไม้ร่วงนี้ครับ (ซึ่งก็น่าจะตรงกันกับ iPhone รุ่นล่าสุดเปิดตัวพอดี)
แต่…ข่าวร้ายสำหรับ iPad 1 และ iPod Touch รุ่นที่เก่ากว่า 4th gen จะไม่สามารถใช้งาน iOS 6 ได้นะครับ
สิ่งที่เพิ่มขึ้นมาแต่ไม่มีบอกในงาน
เมื่อดูจากหน้าเว็บ Apple แล้วมีสิ่งที่เพิ่มเข้ามาอยู่ 2 สิ่งคือ Airport Express รุ่นใหม่ ที่มีลักษณะคล้าย Apple TV และ Smart Case สำหรับ iPad ที่มีการห่อหุ้มด้านหลังมาให้ด้วย
สิ่งที่หายไป
สิ่งที่หายไปจากการผลิตนั่นคือ Macbook Pro ขนาดจอ 17 นิ้ว แต่มันถูกแทนที่ด้วย Macbook Pro จอเรตินาแทนนั่นเอง
สิ่งที่สังเกตได้จากการเปิดตัว
สั้นๆ เลยครับ จีน เพราะซอฟท์แวร์ที่ออกมานั้น ไม่ว่าจะเป็น OS X หรือ iOS ต่างออกมาเน้นตอบรับตลาดใหญ่ที่สุดและมีความคึกคักที่สุดในโลกอย่างจีน ดังนั้นแล้วจึงไม่แปลกใจว่า Apple เบนเข็มความสนใจมาอยู่ที่จีนและประเทศรอบๆ ทั้งหมดที่ใช้ภาษาจีนอีกด้วย ซึ่งดูได้จากการรองรับภาษาของ Siri ?(จีน, จีนไต้หวัน, จีนฮ่องกง)?ต้องมาดูกันว่าหลังจากการบุกตลาดด้วยการทำซอฟท์แวร์ออกมารองรับขนาดนี้ จะทำให้ Apple ผงาดในแดนมังกรได้สมใจอยาก CEO หรือไม่ ซึ่งถ้าเข้าครองจีนได้ ก็แทบจะยึดตลาดสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตได้อย่างเบ็ดเสร็จ
ที่มา: Live Blog จาก The Verge