ต้นเดือนธันวาคม 2555 เราเพิ่งจะเสนอข่าวจำนวนผู้ใช้งาน LINE ครบ 80 ล้านคนทั่วโลกไป และตอนนี้บริการรับส่งข้อความบนโทรศัพท์มือถือยอดฮิตจากบริษัท Naver Corp. มีผู้ใช้ทะลุหลัก 100 ล้านคนพร้อมประกาศบุกตลาดสหรัฐอเมริกา?งานนี้ LINE ภูมิใจสุดขีดเพราะใช้เวลาทุบสถิติร้อยล้านเพียง 19 เดือนนับจากเริ่มให้บริการ เรียกว่ายังไม่ถึง 2 ปีก็สามารถทความนิยมได้อย่างดีทั่วโลก
LINE นั้นเป็นแอพพลิเคชันรับส่งข้อความบนโทรศัพท์มือถือซึ่งได้รับความนิยมมากในกลุ่มผู้ใช้ชาวเอเชีย โดยมีคู่แข่งคนสำคัญคือ WeChat ของบริษัท Tencent และบริการอย่าง KakaoTalk รวมถึง WhatsApp บริการระดับโลกที่มีข่าวว่า Facebook อาจเข้าซื้อกิจการเพราะสามารถไปได้ดีทั้งในตลาดเอเชียและยุโรป
ล่าสุด LINE ออกมาให้สัมภาษณ์ Techcrunch ถึงความพร้อมสำหรับการบุกตลาดสหรัฐฯ โดย LINE ระบุว่าจะร่วมมือกับเซเลบริตี้อย่าง Snoop Dogg และแบรนด์อื่นๆเพื่อดึงดูดผู้ใช้กลุ่มวัยรุ่นที่มีอายุไม่เกิน 30 ปี นอกจากนี้ต้นสังกัด LINE อย่าง Naver จะลงมือสร้างสำนักงานของบริษัทที่สหรัฐฯ โดยจะดึงมือดีอดีตผู้บริหาร Paramount Pictures มาร่วมทีม
LINE ให้สัมภาษณ์ว่าแผนการตลาดในสหรัฐฯที่บริษัทเตรียมไว้ คือการเน้นหาผู้ใช้รายใหม่ผ่านช่องทางการตลาดแอพพลิเคชันทั่วไป ร่วมกับการเป็นพันธมิตรกับเซเลบฯและแบรนด์ที่มีชื่อเสียง จุดนี้นักวิเคราะห์เชื่อว่าแผนทั้งหมดจะทำให้ Line มีส่วนแบ่งในตลาดสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น จากการสำรวจล่าสุดที่พบว่ามี iPhone ราว 11% ในสหรัฐฯเท่านั้นที่ใช้งาน LINE
ที่ผ่านมา Naver ไม่เคยเปิดเผยข้อมูล active user หรือผู้ใช้งานประจำรายเดือนและรายวัน แต่ต้องยอมรับว่า สมาชิกผู้ใช้งาน LINE นั้นเพิ่มขึ้นชัดเจนอย่างน่าจับตา จุดผลักดันสำคัญคือคุณสมบัติที่ LINE มีทั้งการโทรฟรี (เช่นเดียวกับที่ Skype หรือ Facebook ให้บริการ) รวมถึงการเพิ่มลูกเล่นน่ารักอย่างตัวการ์ตูน emoji และ sticker ซึ่ง LINE ออกแบบเป็นพิเศษอย่างหมี Brown, กระต่าย Cony รวมถึงหนุ่มผมทองอย่าง James
จุดนี้ Naver ระบุว่า LINE มียอดจำหน่าย sticker ราว 3.75 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อเดือนในช่วงกรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งขณะนี้ Line ให้ข้อมูลเพียงว่ายอดขาย sticker นั้น ?สูงขึ้นอย่างมาก? โดยเฉพาะรายได้จากการโฆษณา ซึ่ง LINE ยืดแนวทางเดียวกับ Twitter นั่นคือการเปิดให้แบรนด์ได้ลงชื่อบัญชีอย่างเป็นทางการหรือ sponsored brand account รวมถึงการเปิดให้แบรนด์ได้สร้าง sticker เพื่อประชาสัมพันธ์แก่ผู้ใช้ LINE ทั่วโลก
ที่มา: Techcrunch