(ภาพประกอบจาก Dinner with Max Jenke)
หลายๆ คนอาจจะยังคุ้นกับชื่อร้านเช่าวิดีโอชื่อดังอย่าง Blockbuster ที่เคยเข้ามาดำเนินกิจการในเมืองไทยอยู่พักใหญ่ ก่อนที่จะแพ้พฤติกรรมปราบเซียนของคนไทยจนต้องปิดกิจการไป ล่าสุด Blockbuster ในบ้านเกิดอย่างสหรัฐอเมริกาก็เดินมาสุดทางแล้วเหมือนกัน เพราะบริษัทแม่ตัดสินใจปิดร้าน(เกือบ)ทั้งหมดลง เพื่อหันหัวเรือมุ่งสู่ธุรกิจสตรีมมิ่ง (Streaming) แทน
Dish Network บริษัทแม่ของ Blockbuster ที่ได้เข้าไปซื้อกิจการร้านเช่าวิดีโอนี้มาในขณะที่ Blockbuster อยู่ในภาวะล้มละลาย ได้ออกมาแถลงว่าบริษัทตัดสินใจที่จะปิดกิจการหน้าร้านทั้งหมดกว่า 300 แห่งที่เหลือลงภายในเดือนมกราคม 2014 ที่จะถึงนี้ (เดิมบริษัทมีร้านของตัวเองกว่า 9,000 แห่งทั่วโลกในปี 2004) โดยจะยังคงเหลือไว้แต่เพียงร้านแฟรนไชส์ (ร้านที่ซื้อสิทธิ์ในการใช้ชื่อ Blockbuster ไปดำเนินการเอง) ราว 50 แห่งเท่านั้น
Blockbuster เปิดกิจการมาได้กว่า 28 ปี โดยมีทั้งหน้าร้านเพื่อให้ลูกค้ามาเลือกเช่าวิดีโอและมีบริการให้เช่าทางไปรษณีย์ด้วย แต่หลังจากที่เริ่มมีการให้บริการชมภาพยนตร์ผ่านระบบสตรีมมิ่ง (Streaming) ในช่วงหลังที่อินเทอร์เน็ตเริ่มเติบโต Blockbuster ก็เผชิญปัญหาอย่างหนักจนต้องเข้าสู่ภาวะล้มละลายในปี 2010 ที่ผ่านมา ก่อนที่ Dish Network ผู้ให้บริการโทรทัศน์ดาวเทียมจะเข้ามาซื้อกิจการไปในปี 2011
สำหรับก้าวใหม่ของ Blockbuster ตั้งแต่ต้นปี 2014 เป็นต้นไปนั้น Dish Network ได้ระบุว่าหลังจากที่ร้านทั้งหมดปิดตัวลง Blockbuster จะกลายเป็นบริการ VDO on demand ที่ลูกค้าสามารถจ่ายเงินเพื่อดูภาพยนตร์ผ่านระบบสตรีมมิ่งได้ทันทีที่บ้านภายใต้ชื่อ Blockbuster@Home ซึ่งในปัจจุบันได้เริ่มมีการให้บริการกับลูกค้าบางส่วนที่ลงทะเบียนไว้แล้ว
ความเห็นผู้แปล
สำหรับใครที่ติดตามธุรกิจออนไลน์ในฝั่งอเมริกามาอย่างต่อเนื่องก็จะทราบดีว่า คู่แข่งสำคัญที่เข้ามาเปลี่ยนสมรภูมิการเช่าภาพยนตร์รายที่ต้องจับตามองมากที่สุดได้แก่ Netflix ที่ผันจากรูปแบบหน้าร้านให้กลายเป็นออนไลน์เต็มรูปแบบ ซึ่งด้วยต้นทุนที่ต่ำลงเพราะไม่มีการเช่าพื้นที่ พนักงานในร้าน ค่าขนส่ง ฯลฯ ทำให้ Netflix สามารถให้บริการได้ในราคาที่ต่ำกว่าอย่างมาก รวมถึงไม่ติดเรื่องข้อจำกัดด้านเวลาและระยะทางอีกต่อไป ดังนั้นการแข่งขันระหว่าง physical store กับ streaming จึงเริ่มเกิดขึ้นและทำให้ยักษ์ใหญ่อย่าง Blockbuster ไม่สามารถต่อสู้ทางด้านราคาและความสะดวกได้อีกต่อไป
หากมองว่าในยกแรกที่ Netflix และบริการรูปแบบเดียวกันรายอื่นๆ เป็นผู้ชนะและโค่นยักษ์แห่งวงการร้านเช่าได้ ยกต่อไปกลับยิ่งน่าจับตามองเข้าไปอีก เพราะยักษ์ที่ว่าดันผันตัวเองเข้ามาต่อสู่ในสนามที่แชมป์เก่าถนัดและได้เปรียบทั้งทางด้านประสบการณ์และโครงสร้างพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็นระบบหลังบ้าน พันธมิตร หรือแม้แต่ชื่อเสียงที่มีมานาน ซึ่งในยกนี้ แม้ Blockbuster จะไม่ใช่หน้าใหม่เสียทีเดียว แต่กับธุรกิจในรูปแบบสตรีมมิ่งนี้ไม่ใช่จุดแข็งของบริษัทนัก ซึ่งทั้งบุคลากรและระบบที่มีต้องถูกรื้อและเริ่มกันใหม่ แม้ Dish Network จะเป็นผู้หนุนหลังที่มีทั้งเงินและทีมงาน แต่การต่อกรกับ Netflix ต้องอาศัยจุดขายใหม่ๆ ที่ไม่มีมาก่อนในตลาดเท่านั้นจึงจะสามารถแข่งขันได้อย่างสูสี
มาติดตามกันต่อไปครับว่า Blockbuster จะมีไม้เด็ดอะไรมารักษาตัวเองและสู้กับดาวรุ่งพุ่งแรงอย่าง Netflix เพราะถ้าก้าวนี้ไม่รอด ชื่อ Blockbuster ก็คงจะกลายเป็นเพียงตำนานแน่นอน