กลางดึกของวันที่ 9 ข้ามวันที่ 10 กันยายน 2014 เวลาประเทศไทย มีงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์สินค้าใหม่จากค่าย Apple ซึ่งก็เป็นงานที่ใครหลายคนรอคอย (โดยเฉพาะผู้เขียน) เพราะในช่วงเวลานี้ iPhone รุ่นใหม่จะถูกเปิดตัวในทุกๆ ปี แต่ในครั้งนี้มีความพิเศษกว่าด้วยสถานที่การจัดงานที่เปลี่ยนไปจากเดิม จึงทำให้ทุกคนจับตามองว่าจะมีอะไรที่ถูกเปิดเผยในงานนี้บ้าง (แม้บางอย่างจะหลุดมาบ้างแล้วก็ตาม)
ก่อนจะเริ่มงาน ทาง Apple ได้เปิดหน้าพิเศษเพื่อทำการถ่ายทอดสดงาน โดยครั้งนี้พิเศษ เพราะ Apple ดึงเอา Twitter มาร่วมการถ่ายทอดสดด้วย โดยมีการขึ้นข้อความจากเหล่าคนดังทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นดารา นักร้อง รวมทั้งคนในวงการแฟชั่น สามารถดูได้จากที่ลิงก์นี้ Apple Live 2014 September Event
เริ่มงานมีการเปิดวิดิโอขึ้นต้นตามธรรมเนียมครับ โดยใช้ชื่อว่า Perspective (ผู้เขียน: รูปแบบการนำเสนอไปคล้ายกับ MV ของ OK Go เลยครับ)
จากนั้น Tim Cook ได้พูดถึงสถานที่ในการจัดงานครั้งนี้ว่า ที่ Flint Center เป็นที่ที่ Steve Jobs ได้ทำการเปิดตัว Macintosh ในปี 1984 และ iMac ในปี 1998 ซึ่งทั้งสองผลิตภัณฑ์นี้ถือได้ว่าเป็นการพลิกโฉมให้ Apple จนถึงทุกวันนี้ และ Tim ก็บอกว่า วันนี้ก็จะเป็นวันสำคัญในประวัติศาสตร์ของ Apple อีกครั้ง…
จากนั้น ตัวเลขที่ตอกย้ำความสำเร็จนั่นก็คือ iPhone 5c และ 5s ที่ออกวางขายเมื่อปีที่แล้ว ยังคงทำให้ iPhone ยังคงเป็นสมาร์ทโฟนที่ขายดีที่สุดในโลก (แม้ 5c จะแป้กแต่ 5s ก็กู้หน้ามาได้)
ฺBigger than Bigger: iPhone 6 and iPhone 6 Plus
และ iPhone ใหม่ที่หลายคนรอคอยการเปิดตัว(อย่างเป็นทางการ หลังจากภาพหลุด) ก็เป็นอย่างที่เราเห็นภาพหลุดกันหล่ะครับ โดยชื่อใช้เป็นชื่อว่า iPhone 6 และ iPhone 6 Plus โดยรูปแบบตัวเครื่องเน้นความมนเหมือนกับ iPhone รุ่นแรกเป๊ะๆ
Phil Schiller รับไม้ต่อจาก Cook โดยมาลงรายละเอียดเพิ่มเติมถึงสเปคและความสามารถของ iPhone 6 ทั้งสองตัว โดยเรื่องแรกที่เขาพูดถึงก็คือชนิดของจอ โดยทั้งสองรุ่นใช้จอรุ่นใหม่ที่เรียกว่า Retina HD ชัดกว่าเดิมเข้าไปอีก โดยมีชั้นของการแสดงผลหน้าจอชั้นบนสุดเป็นกระจกที่เรียกว่า Ion-strengthened glass (ซึ่งไม่ได้พูดถึงกระจก Sapphire แต่อย่างใด)
ความละเอียดของจอ iPhone 6 อยู่ที่ 1334 x 750 และ iPhone 6 Plus อยู่ที่ 1920 x 1080 ซึ่งมีจำนวน pixel ที่เพิ่มขึ้น โดย iPhone 6 มี pixel เพิ่มขึ้น 38% เมื่อเทียบกับ iPhone 5s และ 6 Plus เพิ่มขึ้น 185% และความหนาของ iPhone 6 คือ 6.9 มิลลิเมตร และ 7.1 มิลลิเมตรสำหรับ iPhone 6 plus
ด้วยจอที่ใหญ่ขึ้นทำให้มีพื้นที่ใช้งานได้เพิ่มขึ้น และทำให้การหมุนมาใช้แนวนอนมีการแบ่งหน้าจอให้แสดงผลและสามารถใช้งานได้สะดวกขึ้น (ตรงนี้อาจจะต้องลองใช้เองก่อน เพราะมันต่างจากเดิมพอสมควรครับ)
เมื่อจอใหญ่ขึ้น นักพัฒนาก็คงจะปวดหัวขึ้นแน่ๆ แต่ Schiller บอกว่าแอปต่างๆ ก็ยังคงสามารถใช้ได้ตามปกติ โดยมีการ Scale up แทน แต่นักพัฒนาก็สามารถจะทำแอปเพื่อรองรับจอขนาดใหญ่ด้วยก็ได้เช่นกัน (ปัจจุบันมีแอปบน App Store มากกว่า 1.3 ล้านแอปแล้ว)
หมดเรื่องหน้าจอก็มาถึงหัวใจของ iPhone 6 นั่นก็คือ CPU ที่ใช้รหัส A8 ซึ่งแรงกว่าแน่ๆ ด้วยการใช้ชิป 64-bit รุ่นที่ 2 ต่อจากที่ใช้ใน iPhone 5s ซึ่งมีความเร็วของ CPU มากกว่าเดิม 25% ประสิทธิภาพเมื่อเทียบกับ iPhone รุ่นแรกเร็วกว่าเดิม 50 เท่าและด้านกราฟฟิคเร็วกว่าเดิม 84 เท่า (เข้าใจเอามาเทียบนะ)
ด้วยประสิทธิภาพสุดแรงขนาดนี้ ทาง Schiller เลยดึงเอา Super Evil Megacorp. มาโชว์ความสามารถด้วยเกม Vainglory ซึ่งต้องยอมรับว่าในการโชว์ภาพมันเนียนตามากจริงๆ
นอกจาก A8 แล้วก็ยังมี M8 ชิปเซตที่มาทำงานคู่กัน โดย M8 จะดูในส่วนของการเคลื่อนไหว ซึ่งจะเอามาใช้กับแอปเกี่ยวกับสุขภาพ รวมทั้งแอปอื่นๆ (3rd party) เช่น Nike+ ด้วย โดยมันมีความสามารถที่เก่งขึ้นจาก M7 เดิมใน iPhone 5s อาทิ การมี Barometer ที่ช่วยให้รู้ระดับความสูง เช่น การก้าวขึ้นบันได M8 ก็จะรู้ได้ว่าเราขึ้นบันไดกี่ขึ้นหรือระดับความสูงที่เราปีนขึ้นไป เป็นต้น
แบตเตอรี่ของ iPhone 6 มีการพัฒนาขึ้นเล็กน้อยครับ ซึ่งจริงๆ แล้วความจุของแบตเตอรี่ก็น่าจะมีมากกว่าเดิมตามขนาดของจอที่ใหญ่ขึ้นครับ (แปรผันตามการซดแบตด้วย)
การรองรับเครือข่าย แน่นอนว่าตอนนี้ก็ต้องเป็น LTE ไปแล้ว ที่ความเร็ว 150 Mbps ซึ่งในตอนนี้ถึง 20 ย่านความถี่ของ LTE บน 200 เครือข่ายทั่วโลก(และ 3 เจ้าใหญ่ในจีน) มากกว่าสมาร์ทโฟนรุ่นอื่นๆ และยังรองรับ Voice over LTE (VoLTE) การโทรศัพท์ผ่าน LTE ที่ตอนนี้เริ่มใช้ในเครือข่ายใหญ่ๆ แล้ว และกำลังขยายการให้บริการไปเรื่อยๆ, รองรับระบบ Wi-Fi 802.11ac ที่เร็วกว่าเดิมสามเท่าเมื่อเทียบกับ iPhone 5s และ Wi-Fi Calling ให้สามารถโทรหากันผ่าน Wi-Fi ได้เลยโดยไม่ต้องง้อสัญญาณโทรศัพท์
มาถึงเรื่องกล้อง สิ่งที่เปลี่ยนไปจากภายนอกคือเลนส์ที่นูนขึ้นที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เพราะความบางของตัวเครื่อง โดยยังคงมีความละเอียดที่ 8 ล้านพิกเซลดังเดิม F2.2 แต่ใช้เซนเซอร์ใหม่ที่ทำให้สามารถจับ Focus ได้เร็วขึ้นว่าเดิม, ลด noise, กันสั่น (IS: Image Stabilization) ทำให้ภาพดูชัดสวยสดใส โดยใน Keynote มีการนำภาพที่ถ่ายโดยช่างภาพของ National Geographic มาให้ดูด้วย (ซึ่งมองแล้วก็สวยงามตามท้องเรื่อง) รวมไปถึงภาพ Pano ที่สามารถเก็บภาพด้วยความละเอียดสูงสุดที่ 43 ล้านพิกเซล และ Burst Shot การถ่ายแบบรัวๆ แล้วหารูปที่ดีที่สุดก็ยังคงมีอยู่ครับ
สำหรับคนที่รัก Selfie กล้องหน้าบน iPhone 6 ก็ใช้เซ็นเซอร์ใหม่เช่นกัน โดยมี F2.2 ซึ่งแสงน้อยๆ ก็ถ่ายได้ (ดีกว่าเดิมมากจุดนี้)
ส่วนวิดิโอ การถ่ายแบบ Slo-mo ก็ยังคงอยู่ แต่เพิ่มอัตราการเก็บภาพโดยมีให้เลือกเป็น 120 fps และ 240 fps (ผู้เขียนชอบมาก!)
iOS 8 (ที่ไม่ค่อยต่างจาก iOS 7) จะมาพร้อมกับ iPhone 6 และ iPhone 6 Plus และจะเปิดให้ update สำหรับเครื่องรุ่นอื่นๆ ในวันที่ 17 กันยายนนี้ครับ
9 ประเทศแรกที่จะได้ซื้อก็เป็นประเทศเดิมทั้งหมดครับ (คุณตันครับ คุณผิดครับที่บอกว่าไทยจะได้เครื่องพร้อมๆ กันกับอเมริกา!) ส่วนในประเทศไทยนั้น คาดว่าจะเป็นประเทศที่ขายลอตที่ 2 เหมือน iPhone 5s ครับ
ความจุมีการเปลี่ยนแปลง โดยเริ่มต้นที่ 16GB แล้วข้ามไป 64GB และความจุใหม่ 128GB เลยครับ…(ผู้เขียนอยากได้ 32 แต่อาจจะต้องกัดฟันไป 64 แบบหลีกเลี่ยงไม่ได้)
วิดิโอแนะนำโดย Jony Ive สร้างความเคลิ้มครับ
http://www.youtube.com/watch?v=FglqN1jd1tM
The (New) Way of Payments
Cook กลับมาอีกครั้งพร้อมหน้า keynote กระเป๋าตังค์บวมๆ ซึ่งเขามองว่า น่าจะมีอะไรที่จะช่วยให้ทุกคนสามารถชำระเงินตามร้านค้าได้สะดวกขึ้น ดังนั้นจึงมีการแนะนำบริการใหม่ของ Apple ที่เรียกว่า…
“Apple Pay”เป็นการรวมการใช้งานทั้งซอฟท์แวร์และฮาร์ดแวร์ของทาง Apple ที่มี NFC ที่มีอยู่ใน iPhone 6 ทั้งสองรุ่น, การใช้แอป และการใช้ Touch ID มาช่วยให้การชำระเงินเป็นไปอย่างง่ายดายมากขึ้น (อารมณ์ประมาณ ฟิ้ว ฟึ่บ ปิ๊ป ตัวเบาเป๋าแบน)
Eddy Cue ได้ขึ้นมาพูดถึงบริการล่าสุดที่น่าสนใจมากๆ ให้ฟัง โดยนอกจากความว่องไวในการชำระเงินจากเดิมที่ต้องรูด เซ็นสลิป หากใช้ Apple Pay ก็ไม่มีขั้นตอนเหล่านี้เลย จะมีเพียงแค่เพิ่มบัตรลงบน iPhone และใช้ Touch ID ก็เสร็จแล้ว (งานนี้นิ้วใครก็นิ้วมันนะครับ จะมีสิทธิโดนซื้อสินค้าแบบตอนเผลอหลับ สแกนนิ้วปั๊ป เงินไปเลย…)
แต่สิ่งที่ใครหลายคนกังวลนั่นก็คือข้อมูลบัตรเครดิตต่างๆ ทาง Cue บอกว่าการบันทึกข้อมูลบัตรจะใช้ด้วยการถ่ายรูป หรือใช้ข้อมูลจากบัตรที่ผูกกับ Apple ID ของเราก็ได้ โดยข้อมูลทั้งหมดจะเก็บไว้กับเครื่อง iPhone อย่างเดียว Apple จะไม่มีเก็บไว้ แต่ถ้าหากเครื่องหายก็สามารถใช้ Find my iPhone สั่งให้ระงับการใช้บัตรได้อย่างง่ายดาย
นอกจากนั้น Cue ยังบอกว่า Apple จะไม่มีการรู้ข้อมูลว่าเราใช้เงินไปเท่าไหร่ (แซะ Google อย่างแรง เพราะ Google รู้ทุกเรื่อง) และแคชเชียร์ก็ไม่รู้ security code หลังบัตรเราด้วย ดังนั้นมีความเป็นส่วนตัวสูง (เขาว่าอย่างนั้นนะครับ ความเป็นจริงก็ไม่ยืนยันใดๆ)
ที่เด็ดที่สุดคือ เขาไป partner กันเรียบร้อยแล้วกับ 3 เครือข่ายด้านการชำระเงิน ได้แก่ AMEX, Visa, Mastercard แล้ว (แค่นี้ก็กินไปเกือบทั้งโลกแล้ว) โดยจะเริ่มใช้งานในอเมริกาก่อน ซึ่งเริ่มแล้วกับร้านที่มีสาขาจำนวนมาก เช่น Starbucks, Disney, Subway เป็นต้น (มาไทยเร็วๆ นะ)
โดย Apple Pay จะใช้ได้กับเฉพาะ iPhone 6 ทั้งสองรุ่นเท่านั้น ก็เพราะมันมี NFC ไงครับ!
ปล.จริงๆ แล้ว NFC เป็นอะไรที่รอกันมานานมากๆ ที่จะมาอยู่ใน iPhone แต่สุดท้ายก็ต้องให้ทุกอย่างนั้นพร้อมก่อน นั่นคือความพร้อมของร้านค้า ผู้ให้บริการ ก่อนที่ Apple จะขอลงมาลุยในด้านนี้ด้วย เพราะไม่งั้นแล้วเอามาใส่ก็สูญเปล่า…
One More Thing…
3 คำสุดคลาสสิคที่ Jobs พูดในงาน Event แทบจะทุกครั้ง และเป็นสิ่งที่หลายคนรอเพราะถือเป็น Hi-Light ในงาน ที่คาดกันว่าจะเป็นการเปิดตัวสิ่งใหม่ล่าสุดที่ Apple ไม่เคยทำมาก่อน นั่นก็คือ…(วิดิโอเปิดตัว)
http://www.youtube.com/watch?v=gCluaJe3lb4
Apple Watch
จาก Macintosh ที่เริ่ม Mouse, iPod มี Click Wheel, iPhone มี Multi-Touch สู่ Apple Watch ที่มี Digital Crown หรือถ้านาฬิกาทั่วไปก็คือเม็ดมะยมที่ใช้ควบคุมเข็มนาฬิกานั่นเอง โดย Crown นี้จะใช้เป็นส่วนหนึ่งในการควบคุมนาฬิกา นอกจากการคุมผ่านการสัมผัสหน้าจอ
Interface บนหน้าจอนั้นมีการออกแบบใหม่หมดซึ่งต่างไปจากอุปกรณ์ iOS เดิมที่มีด้วยความเป็นนาฬิกา ควบคุมด้วย Crown เพื่อการซูมเข้าออกและเป็นปุ่ม Home ในตัว ส่วนการเข้าแอปก็ใช้การสัมผัสแตะเข้าไปเหมือนการใช้ iPhone
ส่วนด้านหลังจะมีแสง LED ที่จะมีจับอัตราการเต้นของหัวใจ รวมทั้งเป็นส่วนที่จะใช้ในการชาร์ตแบตเตอรี่ด้วย (ตอนนี้ Apple ยังคงเก็บเรื่องการใช้งานของแบตเตอรี่ไว้ ไม่บอกออกมา)
กระจกที่ใช้งานบนหน้าปัด ใช้ Sapphire เน้นความคงทน รวมทั้งจอใช้เป็น Retina ที่ยืดหยุ่น (Flexible) ซึ่งสามารถรองรับแรงกดได้สบายๆ
หลังจากนั้นก็มีการเปิดวิดิโอที่ Jony Ive มาอธิบายเบื้องหลังในการคิดและออกแบบ Apple Watch ตัวนี้ ความยาว 10 นาที (ผู้เขียนฟังครั้งแรกเคลิ้มมาก แทบจะควักตังค์ให้ตั้งแต่แรกเลยทีเดียว)
http://www.youtube.com/watch?v=ktujsc4ZUTo
ภายในวิดิโอนั้นมีการอธิบายไว้แทบจะทุกอย่างแล้ว รวมถึงความสามารถของมัน คราวนี้ก็มาถึงการสาธิตโดย Kevin Lynch, VP ของ Apple ที่ย้ายมาจาก Adobe (ข้อมูลจาก @themacci สุดยอดแฟนพันธุ์แท้ Steve Jobs)
การสาธิตเริ่มตั้งแต่รูปแบบการใช้งานจริง การใช้ Crown, บนหน้าจอเป็นอย่างไร รวมทั้งเบสิคคือการเปลี่ยนรูปแบบหน้าจอตามที่เราต้องการได้ ไม่ว่าจะเป็นรูปมิกกี้เม้าส์ การแสดงเป็นพระจันทร์ เข็มนาฬิกาหลากหลายรูปแบบ ระบบสุริยะจักรวาล และอื่นๆ (มันเยอะมาก)
ด้านแอปพลิเคชันบนเครื่อง จะถูกเน้นไปในทางด้านการออกกำลังกายเสียเป็นส่วนใหญ่ รวมไปถึงการแสดงข้อความเตือนต่างๆ การควบคุมการใช้งานที่ต้องใช้ร่วมกับ iPhone (ข้อมูล fitness เก็บข้อมูลได้บน Fitness App บน iPhone)
คุมเพลงได้ ดูรูปได้ ดูแผนที่ได้ (นี่น่าจะเป็นสาเหตุที่นาฬิกาออกแบบเป็นสีเหลี่ยม ไม่กลม)
และที่เด็ดคือการส่งข้อความไปยังคนที่ต้องการได้ด้วยรูปแบบต่างๆ เช่น Emoticon, การวาดรูปให้ หรือแม้แต่รูปการเต้นของหัวใจ (เป็นคุณสมบัติของนาฬิกาหลีหญิงมากๆ)
สำหรับนักพัฒนาก็จะมี WatchKit ที่จะสามารถออกแบบแอปบน Apple Watch เอง หรือเอามาใช้คู่กันกับ iPhone ได้ โดยที่ Lynch นำมาเสนอก็คือแอป City Mapper ไว้ดูระยะเวลาการรอรถไฟ หรือ BMW ดูระดับน้ำมันและสถานะของประตูว่าลอคหรือยัง เป็นต้น
Apple Watch สามาระใช้งานได้กับ iPhone รุ่นใหม่ รวมทั้ง iPhone 5, 5s, 5c ด้วย
Apple Watch มีหน้าปัด 2 ขนาดคือ 38มม. และ 42 มม. และยังถูกแบ่งออกมาเป็น 3 คอลเลคชัน ได้แก่ Apple Watch แบบมาตรฐาน ใช้สแดนเลส, Apple Watch Sport ขอบ anodized aluminum สีเงินและสีเทาเพื่อความเบาทนทาน และ Apple Watch Edition ที่ใช้ทอง 18K เป็นตัวเรือน
สนนราคาอยู่ที่ 349 เหรียญสหรัฐฯ หรือราว 11,000 บาทไทย โดยจะเริ่มขายช่วงต้นปี 2015 ครับ
ปิดท้ายด้วยวิดิโอของ Apple Watch ครับ
http://www.youtube.com/watch?v=CPpMeRCG1WQ
———————
ทั้งหมดก็เป็นรายละเอียดทั้งหมดของการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ของ Apple ครับ มีทั้งถูกใจ ไม่ถูกใจ ไม่สุด หลุดตามคาด ทุกอารมณ์จริงๆ ใครที่รอเป็นเจ้าของก็ไม่น่าจะนานนักสำหรับ iPhone 6 นะครับ ส่วน Apple Watch รอกันสักนิด (นิดละมากกว่า 3 เดือน) นะครับ