เชื่อว่าผู้อ่านหลายคนในนี้ โดยเฉพาะชีวิตคนกรุง ใช้บริการซักรีดกันอยู่เป็นประจำ และอาจประสบปัญหาต่างๆ เช่น บางร้านก็ไม่ได้เปิดตลอด เรื่องคุณภาพและบริการไม่ดี ราคาแพง เป็นต้น Washbox24 จึงเข้ามาแก้ปัญหาในจุดนี้ เรียกว่าเป็น Startup ที่พัฒนามาจากปัญหาจริงที่เกิดขึ้นในสังคม นอกจากนี้ Washbox24 ก็เป็นหนึ่งเดียว Startup ไทยที่เข้าแข่ง SeedStars World เวทีการแข่งขัน Startup ระดับโลก และเข้าสู่รอบ Finalist ได้อีกด้วย ไปทำความรู้จักกับเขากันคุณนิธิพนธ์ ไทยานุรักษ์ CEO แห่ง Washbox24
ประสบการณ์ตรงด้านการวิเคราะห์และเข้าใจตลาดช่วยได้
สวัสดีครับผมนิธิพนธ์ ไทยานุรักษ์ หรือหลายคนเรียกกันว่า Bond ก่อนหน้าที่จะมาทำ Washbox24 แบ็คกราวของผมคือสายการเงินและการตลาด ผมเริ่มทำงานกับ KPMG ในส่วนของ Merge and Acquisition ดูความเป็นไปได้ของโปรเจ็ค และวิเคราะห์ตลาด และใช้เวลาทำงานในช่วง 8 ปีหลังกับสายธุรกิจค้าปลีก และวิจัยตลาดกับบริษัท Tesco ที่ประเทศอังกฤษ ทำให้ผมเชี่ยวชาญในด้าน Go-to-Market Strategy และ Research-based Experience Management ซึ่งต่อมาช่วยในเรื่องการทำธุรกิจได้มาก
แรงบันดาลใจเริ่มต้นทำ Washbox24 มาจากปัญหาที่ตนเองพบเจอมากับตัว
ในช่วงเวลาที่ผมทำงานหนัก ใช้เวลาที่ออฟฟิสนานๆ กว่าจะกลับมาส่งเสื้อไปร้านซักรีด ก็ปรากฎว่าร้านปิดเสียแล้ว โดยส่วนใหญ่ร้านมักเปิดตั้งแต่ 9โมง ถึง 5โมงเย็น บางทีก็ถึงทุ่มนึงครับ ทำให้หลายครั้งก็ไปรับชุดไม่ทัน ซึ่งมีความจำเป็นต้องใช้มาก โดยเฉพาะสูทที่ต้องใส่ไปประชุมงานสำคัญในวันรุ่งขึ้น แถมซ้ำร้ายถุงเท้า และเสื้อก็อาจหายไปด้วย ซึ่งก็เข้าใจครับว่าพวกเขาก็ไม่ได้ตั้งใจอยากให้หายหรอก แต่ก็เกิดขึ้นไปแล้ว…ผมมองว่าเรื่องพื้นฐาน 2 สิ่งหลักๆ เลยที่ร้านซักรีดต้องมีคือ “ความสะดวกสบาย” และ “ความโปร่งใส” ผมเลยคิด WashBox24 ขึ้นมาเป็น Locker สำหรับซักรีดที่เปิดตลอด 24/7 ที่มาพร้อมความสามารถในการแทรคเสื้อผ้าของคุณได้ครับ ซึ่งช่วยให้ใครหลายๆ คนสะดวกขึ้นแน่นอน รวมทั้งผมเองด้วย
WashBox24 บริการด้านซักรีดในรูปแบบของ Locker ที่เปิดตลอด 24/7 รายแรกของเอเชีย
ด้วยขั้นตอนง่ายๆ 4 ขั้นตอนคือ สมัคร, นำเสื้อมาส่ง, แจ้งเตือน และรับของ เพียงคุณใช้บริการกับเราอุปกรณ์ Locker และแอปฯ บนสมาร์ทโฟนจะจัดการงานที่เหลือให้เองครับ ตลาดของธุรกิจนี้ใหญ่ไม่น้อย เฉพาะในกรุงเทพก็มีร้านซักรีดกว่า 10,000 ร้านด้วยมูลค่าตลาดอยู่ที่ 200 ล้านเหรียญสหรัฐฯ กลุ่มเป้าหมายของเราคือคนทำงานในกรุงเทพ และ lockers ของเราส่วนใหญ่กว่า 34 เครื่องจะอยู่ใกล้กับแถบรถไฟฟ้าทั้ง BTS และ MRT โดยเริ่มต้นค่าบริการที่ 20 บาทต่อชิ้น
Hardware Startup กับการขยายธุรกิจ
Hardware เป็นสายธุรกิจที่ Startup หลายรายไม่อยากเข้ามา ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเรื่องของเงินทุน และต้องการคนที่มีความชำนาญด้านนี้โดยตรง ดังนั้นการขยายธุรกิจจึงเป็นเรื่องท้าทายสำหรับสายธุรกิจนี้จริงๆ ดังนั้นสำหรับเราคือการสร้างระบบแฟรนไชส์ขึ้นมา ซื้อ locker ของเราและนำไปไว้ที่คอนโดฯ ของพวกเขาได้ โดยเราแบ่งรายได้ให้ 30% ต่อเดือน และเราดูแลส่วนที่เหลือคือ การรับของ นำไปซัก ส่งของ และระบบการชำระเงิน และนี่ทำให้เราสามารถขยายไปได้ 34 แห่งในระยะเวลา 18 เดือนแรก นอกจากนี้ยังมีอีกหลายคนที่สนใจอยากหารายได้เพิ่ม มีธุรกิจของตัวเองโดยไม่ต้องเน้นงาน Operation มาก และเป็น Passive Income สำหรับพวกเขา ถ้า AirAsia บอกว่า ทุกคนสามารถบินได้ WashBox24 ก็จะบอกว่า ทุกคนสามารถเป็นแฟรนไชส์ของเราได้ครับโดยแผนต่อจากนี้ เราอยากขยายธุรกิจไปในเมืองใหญ่ๆ ของประเทศต่างๆ ที่สมาร์ทโฟนได้รับความนิยม เช่น สิงคโปร์ กัวลาลัมเปอร์ ฮ่องกง โตเกียว และ เกาหลี เป็นต้น
ประสบการณ์จาก SeedStars World ความต่างระหว่าง Startup ที่ไทยและต่างประเทศ
เป็นประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมมากเลยครับ ต้องบอกว่าการแข่งขันครั้งนี้เป็นการแข่งขันอย่างเป็นทางการครั้งแรกของเรา หลังจากผ่านเวทีนี้มา ทำให้เราได้เข้าถึงสื่อมากมาย มีโอกาสพบเจอกับ Startup ต่างๆ ในต่างประเทศที่น่าสนใจ ต้องบอกว่าทักษะและความสามารถของบ้านเราไม่ได้ต่างกับเขา แต่สิ่งที่ขาดเห็นจะเป็นผู้สนับสนุนจากองค์กรใหญ่ๆ มากกว่า ที่นั่นดูเหมือนหลายองค์กร หลายบริษัทให้ความสำคัญใน Startup มากกว่าบ้านเรามาก
ความท้าทายของการเป็น Startup
ความท้าทายของผมคือการที่ต้องดีลกับผู้เกี่ยวข้องหลายฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นลูกค้า นักลงทุน เป็นต้น ในขณะที่ไอเดียธุรกิจเกิดขึ้นใหม่อยู่แทบทุกวัน เราต้องตัดสินใจให้ถูกในเวลาที่จำกัด และหวังว่ามันจะถูกต้องมากกว่าผิดพลาด มันเป็นขบวนการเรียนรู้ระหว่างทางไปด้วย ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่ดีและสนุกมากครับ
ก่อนจากกัน Bond นิธิพนธ์ ได้ฝากข้อคิดให้กับ Startup ไว้ว่า