แล้วก็มาถึงวันงานจากทาง Apple อีกครั้ง โดยธรรมเนียมในงานนี้ก็จะเป็นการเปิดตัวสินค้าใหม่อีกระลอก ซึ่งก็มีการคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้วว่าจะเป็นการเปิดการวางขาย Apple Watch ที่เปิดตัวไปเมื่องานครั้งก่อนหน้า แต่แน่นอนว่าก็มีหลายอย่างที่เราคาดกันไม่ถึงว่าจะมีการเปิดตัวใหม่อย่าง Macbook ที่ใครเห็นก็ร้องว้าวกันทั้งหมด (แม้แต่สาวกฝั่งตรงข้าม)
เริ่มต้นด้วยการเอาใจคนจีน
ก่อนที่ Tim Cook จะขึ้นมา มีวิดิโอแนะนำ Apple Store สาขาล่าสุดในประเทศจีน ณ เมืองหางโจว หลังจากนั้น Tim Cook ก็ขึ้นบนเวที โดยกล่าวถึงวิดิโอที่เพิ่งชมไป พร้อมให้ข้อมูลว่า ในตอนนี้มีสาขาของ Apple Store เฉพาะในประเทศจีนมากถึง 21 สาขาแล้ว โดยมีเป้าหมายในปีหน้าว่าจะมีสาขาเกิดขึ้นมากถึง 40 แห่ง
สำหรับตอนนี้มีสาขาของ Apple Store ทั่วโลกอยู่ที่ 453 แห่งแล้ว (เมืองไทยก็รอกันต่อไป แม้จะมีแพลมๆ ว่าจะมา สุดท้ายก็ไม่มา) ซึ่งในช่วงไตรมาสล่าสุดมีคนเข้ามาที่ Apple Store มากกว่า 120 ล้านคน
HBO NOW พันธมิตรใหม่ด้าน Streaming และลดราคา Apple TV
จบช่วงจีนๆ ไปแล้วก็มาช่วงแนะนำเพื่อนบ้านของ Apple รายใหม่ ซึ่งในด้านของการ Streaming หรือการรับชมวิดิโอ Apple เองก็มีอุปกรณ์รองรับด้านนี้โดยเฉพาะอยู่แล้ว นั่นคือ Apple TV และมีพันธมิตรอยู่หลายเจ้า ซึ่งเป็นเจ้าใหญ่ๆ แทบทั้งนั้น และครั้งนี้ก็มีการแนะนำรายล่าสุดและเป็นรายใหญ่เสียด้วย นั่นก็คือ HBO ซึ่งมีหนังและซีรีย์มากมาย ไม่ว่าจะเป็น Sex In the City และที่ดังสุดๆ ในยุคนี้ก็คือ GOT Game of Thrones จากนั้น Tim ก็เชิญ Richard Plepler CEO แห่ง HBO ขึ้นมา แนะนำตัวและแนะนำบริการ
Richard ขึ้นมาแนะนำบริการใหม่ โดยเป็นบริการ Streaming ที่ทำมาพิเศษเฉพาะผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ Apple โดยเฉพาะ ชื่อว่า HBO Now โดยสามารถดูหนังดูซีรีย์ได้ไม่อั้น ในราคา 14.99 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 500 บาทต่อเดือน โดยให้บริการในสหรัฐฯ ก่อน(ตามฟอร์ม) เมื่อสมัครใช้งาน สามารถชมฟรีได้ 1 เดือน และในช่วงเดือนเมษายนก็เป็นช่วงที่ Game of Thrones Season 5 เริ่มฉายพอดิบพอดี หลังจากแนะนำแล้วก็มี Trailer หรือตัวอย่างของ GOT มาให้ชม (ซึ่งผู้เขียนไม่อิน เพราะไม่ได้ติดตาม)
Tim กลับขึ้นมาบนเวทีเพื่อมาบอกว่า ไหนๆ ก็มี HBO NOW แล้ว เรา Apple ก็ขอลดราคา Apple TV จากเดิม 99 เหรียญสหรัฐ เหลือ 69 เหรียญสหรัฐ หรือเป็นเงินไทยประมาณ 2300 บาท (พี่ไทยขายที่ 3300 บาท)
ตัวเลขและ Apple Pay
Tim ได้เริ่มร่ายตัวเลขซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของการ Keynote ทุกครั้ง แต่ตัวเลขในครั้งนี้เหมือนกับครั้งก่อนๆ นั่นคือ การชูตัวเลขของ iPhone ว่าขายได้ทั้งหมดตอนนี้ 700 ล้านเครื่องแล้ว (รวมทุกรุ่น), อุตสาหรรมของสมาร์ทโฟนที่อื่นๆ โต 26% ส่วน iPhone 49% เลยจ้ะ ซึ่งก็เป็นอันดับ 1 ของสมาร์ทโฟน และตัวเลขที่ออกจะขี้โม้มาก (แม้ผู้เขียนจะเป็นผู้ใช้ Apple ก็ตาม) ก็คือผู้ใช้งานมีความพึงพอใจต่อ iPhone 6 และ iPhone 6+ 99%
จากนั้นก็เข้าสู่เรื่อง Apple Pay ที่เปิดตัวไปเมื่อครั้งที่แล้ว จากตอนแรกที่มีรับบริการอยู่ไม่กี่เจ้า ตอนนี้ผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด โดยตัวเลขที่ Tim บอกมาคือตอนนี้มีจุดรับชำระ Apple Pay มากกว่า 7 แสนแห่งในสหรัฐฯ และก็จะมีตู้หยอดโค้กกว่า 1 แสนตู้ที่รองรับการจ่ายเงิน Apple Pay ถูกติดตั้งในปีนี้
CarPlay, HomeKit และ Health
สามสิ่งต่อมาที่ Tim พูดถึงคือ CarPlay ซึ่งก็ถูกโยงไปถึงการคาดการณ์ว่า Apple จะมีรถยนต์ออกมาบ้างหล่ะ โดย Tim บอกว่าตอนนี้ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ๆ เริ่มทำออกมาเพื่อรองรับ CarPlay แล้ว โดยในปีนี้จะมีรถมากถึง 40 รุ่นที่รองรับ
ส่วน HomeKit ไม่ได้พูดถึงมากนัก เพียงแค่เกริ่นว่ามันจะช่วยควบคุมอุปกรณ์เครื่องใช้ภายในบ้าน โดยจะมีออกมาขายมากขึ้นในปีนี้
ส่วน Health เป็นสิ่งที่ Tim พูดมากที่สุด เพราะเป็นช่วงปีที่คนหันมาใส่ใจการออกกำลังกายมากขึ้น โดยปัจจุบันมีแอปที่เกี่ยวกับสุขภาพมากกว่า 900 แอปแล้ว ซึ่งจุดนี้เองก็เป็นจุดเริ่มต้นของการมาของบริการใหม่…
ResearchKit ศูนย์กลางการวินิจฉัยโรคผ่านอุปกรณ์ Apple
ก่อนที่ Tim จะส่งต่อเวทีให้ Jeff Williams – Senior Vice President of Operations ที่ไม่ค่อยได้ขึ้น Keynote เท่าไหร่นัก Tim ได้พูดถึงว่านอกจากการจับการเคลื่อนไหวการออกกำลังกายแล้ว เขาอยากจะทำสิ่งที่เปลี่ยนโลกครั้งใหญ่อีกครั้งที่เขาสามารถทำได้ นั่นก็คือการทำให้อุปกรณ์ iPhone สามารถเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยวินิจฉัยโรคได้ ซึ่งก็เป็นที่มาของ ResearchKit โดย Jeff ได้พูดว่าทุกวันนี้การวิจัยมักจะถูกทำกันในกลุ่มตัวอย่างเล็กๆ หรือจากอาสาสมัคร รวมทั้งการจะได้ข้อมูลผู้ป่วยก็ต้องไปถามกับแพทย์โดยตรง ซึ่งก็ไม่ได้ข้อมูลจากปากของคนไข้ และช่วงระยะเวลาในการติดตามก็ไม่สม่ำเสมอ
ดังนั้น เขาเลยมองหาโอกาสจากผู้ใช้งาน iPhone ที่ถูกขายไปเป็นหลักร้อยล้านเครื่อง จึงได้เกิดเป็นบริการนี้ขึ้นมา ซึ่งจะเปิดให้ผู้ใช้งานสามารถพูดคุยและปรึกษาโรคต่างๆ ผ่านแอป ซึ่งปลายทางก็จะเป็นผู้เชี่ยวชาญในแต่ละโรคจากมหาวิทยาลัยต่างๆ โดยเริ่มต้นนี้มีโรคที่รองรับอยู่ 5 อย่าง ได้แก่ มะเร็งเต้านม (ฺBreast Cancer), เบาหวาน (Diabete), โรคหัวใจและหลอดเลือด (Cardio Vascular), โรคระบบสมอง (Parkinson), โรคหอบหืด (Asthma)
เรื่องที่คนจะเป็นห่วงก็คือ การเผยแพร่ข้อมูลที่ได้ เพราะว่าคนที่เข้ารับการปรึกษานั้นจะต้องมีการแชร์ข้อมูลให้กับผู้เชี่ยวชาญผ่านแอป แต่ Apple บอกว่า เขาจะไม่ดูข้อมูลของคุณ รวมทั้ง ResearchKit จะเป็น OpenSource อีกด้วย
https://www.youtube.com/watch?v=VyY2qPb6c0c
MacBook ใหม่!
MacBook เรียกได้ว่าเป็นแล็ปทอปที่ได้รับความนิยมอย่างมากและเติบโตสวนทางกับอุตสาหกรรมของ Notebook ซึ่งติดลบ ด้วยประสิทธิภาพและการใช้งาน รวมทั้งรูปลักษณ์ทำให้ได้รับความนิยมมาอย่างต่อเนื่อง และที่ผ่านมา Apple ก็มี MacBook อยู่ 2 ตัวหลักได้แก่ Macbook Air และ MacBook Pro
และในครั้งนี้ก็ได้เวลาที่จะเปิดตัว MacBook ใหม่ ที่ใครหลายคนรอ นั่นก็คือ Macbook (เป็นการใช้ชื่อเดิมของรุ่นที่เลิกผลิตไปแล้ว) ด้วยรูปลักษณ์ใหม่ที่บางกว่าเดิม บางกว่า MacBook Air อีก พร้อมกับสีที่มาเพิ่มนั่นคือ Space Grey และ Gold ที่เหมือนกันกับที่ iPhone และ iPad มี โดย Tim ยกเครื่องมาให้โชว์บนเวทีโชว์ความบางและความคมของจอที่เป็น Retina Display และเป็นสีทอง (ที่สวยมาก)
จากนั้น Phil Schiller ก็ขึ้นมาอธิบายว่าสิ่งที่มีมาให้ใหม่ใน MacBook ตัวนี้มีอะไรบ้าง ซึ่งผมขอสรุปคร่าวๆ ดังนี้ครับ
- สีใหม่ เพิ่มจากเดิมเป็น 3 สี (เรียกเร็วๆ คือ เงิน, ดำ, ทอง)
- จอ 12 นิ้ว แบบ Retina Display ความละเอียด 2304 * 1140 โดยเป็นจอที่บางที่สุดในตระกูล Mac และกินไฟน้อยกว่าเดิม 30%
- หนัก 2 ปอนด์ หรือ 0.9 กิโลกรัม
- บางกว่า MacBook Air (ที่ว่าบางแล้ว) 24% เท่ากับ 13.1 มิลลิเมตร
- Keyboard แบบใหม่ ปุ่มใหญ่กว่าเดิม และใช้ฐานการรองรับการพิมพ์แบบใหม่ ทำให้เวลากดรู้สึกนุ่มขึ้น (User Experience ล้วนๆ)
- มีแสง LED ทุกปุ่ม
- Trackpad ที่ออกแบบใหม่ใหม่ทั้งหมด โดยเรียกว่า Force Touch trackpad โดยมีการใช้ Taptic Engine ควรคุมการใช้งาน 4 จุด และ Force Sensors ตรวจสอบการใช้งาน 4 จุด เพื่อให้ใช้งานได้แม่นยำและเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม และพื้นผิวจะเป็นกระจก
- เป็น MacBook รุ่นแรกที่ไม่มีพัดลม เนื่องจาก CPU ของ Intel รุ่น Intel Core M ที่ใช้ไฟน้อยเพียง 5 วัตต์และไม่ปล่อยความร้อนมาก
- บอร์ดมีขนาดเล็กกว่าเดิม 67%
- พื้นที่ส่วนใหญ่ถูกแทนด้วยแบตเตอรี่
- ใช้งานได้สบายๆ 9-10 ชั่วโมง
- มีพอร์ทเพียงพอร์ทเดียวคือ USB-C ที่เป็นมาตรฐานล่าสุด ใช้งานได้ทุกอย่าง (แต่ราคาสายต่อโหดมาก อยู่ที่ 2,900 บาทต่อเส้นสำหรับ VGA และ HDMI)
- สนนราคาอยู่ที่ 43,900 และ 54,900 บาท
- เริ่มวางขาย 10 เมษายน 2558 ทางไปชม
สำหรับ MacBook Air นั้นก็ยังไม่ถูกทิ้ง โดยมีการอัปเกรด CPU เป็น fifth-generation Intel Core processors และช่อง Thunderbolt 2 และ MacBook Pro จอ 13 นิ้วมีการเปลี่ยน CPU เดียวกันกับ MacBook Air และความเร็วของ Flash Drive เร็วขึ้นกว่าเดิม 2 เท่า และ Trackpad เป็นรุ่นใหม่เหมือน MacBook ใหม่ ส่วนรุ่น 15 นิ้ว ไม่อัปเกรด
Apple Watch มาอย่างเป็นทางการ
หลังจากเปิดตัวไปครั้งที่แล้ว ครั้งนี้ก็กลับมาอีกรอบ แต่ดูเหมือนประเด็นจะอยู่ที่ วันในการวางขาย, ราคาขายแต่ละรุ่น และที่สำคัญสุดคือแบตเตอรี่ ว่าจะอยู่ได้นานขนาดไหนนะครับ
- Apple Watch มี 3 รุ่น ได้แก่ Apple Watch Sport, Apple Watch และ Apple Watch Edition โดยมีราคาไล่จากถูกไปหาแพงด้วยวัสดุที่แตกต่างกันออกไป
- คุณสมบัติต่างๆ ถูกพูดไปก่อนหน้านี้หมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นปรับแต่งหน้าจอ, เลือกข้อมูลมาแสดงบนหน้าจอ, เปลี่ยนเพลง, รับสายได้และโทรได้เลยผ่าน Apple Watch (เหมือนบางยี่ห้อทำได้แล้ว) และอื่นๆ
เมื่อกล่าวคุณสมบัติไปคร่าวๆ แล้ว Tim ก็เปิดวิดิโอ Christy Turlington Burns นางแบบที่ไปวิ่งฮาล์ฟมาราธอนแรกของเธอที่แอฟริกาใต้ โดยใช้ Apple Watch มาเป็นผู้ช่วยโคชของเธอ และเธอก็ได้ขึ้นมาบนเวทีกับ Tim โดยมีการพูดคุยถึงการใช้งานกันเล็กน้อย พร้อมกับการแนะนำให้ติดตามบล็อกของเธอบนเว็บไซต์ Apple เพื่อจะติดตามเธอไปวิ่งงาน London Marathon สามารถติดตามได้ที่นี่… Apple Watch + Christy Turlington Burns
ส่วนการใช้งาน Siri และ Apple Pay ก็สามารถทำได้ผ่านบน Apple Watch
หลังจากนั้น Kevin Lynch ก็ขึ้นมา Demo การใช้งานให้ดูในทุกรูปแบบที่ทำได้ อย่างที่กล่าวมาข้างต้น รวมทั้งการเชคว่าจะต้องเดินทางด้วยเครื่องบินเมื่อไหร่, เรียกแท็กซี่ Uber, ส่งข้อความ WeChat และอื่นๆ
และเรื่องการใช้งาน สามารถใช้งานได่ 18 ชั่วโมง (ซึ่งแพ้คู่แข่งแทบทั้งหมด)
…แต่ละรุ่นเป็นอย่างไรบ้าง
Apple Watch Sport
ตัวเรือนทำจาก Anodized Aluminum มี 2 สีให้เลือกคือ Silver และ Space Grey โดยราคาอยู่ที่ 349 เหรียญสหรัฐสำหรับหน้าปัด 38 มม. และ 399 เหรียญสหรัฐสำหรับหน้าปัด 42 มม. สายซิลิโคนมีสีให้เลือก 5 สี
Apple Watch
ตัวเรือนเป็น Stainless Steel มี 2 สีคือ ปกติและ Space Black ราคามีตั้งแต่ 549-1049 เหรียญสหรัฐ ตามขนาดและรูปแบบของสาย
Apple Watch Edition
ตัวเรือนทำจากทองคำแท้ 18 กะรัต ราคามีตั้งแต่ 10,000 – 17,000 เหรียญสหรัฐตามสีและสาย
เมื่อมาดูราคาในประเทศที่ใกล้บ้านเราที่สุดก็คือฮ่องกง
- Apple Watch Sport อยู่ที่ 2728 – 3088 เหรียญฮ่องกง หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 11,500 – 13,000 บาท
- Apple Watch อยู่ที่ 4288 – 5888 เหรียญฮ่องกง หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 18,000 – 24,800 บาท
- Apple Watch Edition อยู่ที่ 78800 – 129800 เหรียญฮ่องกง หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 331,000 – 545,000 บาท
เริ่มเปิดจองวันที่ 10 เมษายน 2558 นี้ และวางขายจริง 24 เมษายน 2558 โดยเริ่มที่ 9 ประเทศหลัก (เหมือนตอนวางขาย iPhone ในยุคแรกๆ)
ความเห็นของผู้เขียน
- Apple เน้นการขาย Content ด้าน Streaming มากขึ้น และเพื่อมาหนุนกับการขายหนังบน iTunes Store ที่ดูจะไม่ค่อยได้รับความนิยมนัก
- การได้ HBO มาก็เป็นพันธมิตร ทั้ง Apple และ HBO ก็พร้อมแล้วที่จะกินเงินผู้ใช้งานกันแบบยาวๆ (Long Tail) และเอามาเสริมกับตัว iTunes Store ที่ตัวมีอยู่ นับไปถึง Exclusive content ต่างๆ ที่จะมีมาแน่ๆ
- ResearchKit เป็นสิ่งที่ผมว่าเจ๋งที่สุดในงาน เพราะมันสร้างคุณค่าของ Apple ให้ดีขึ้นกว่าเดิมด้วยการหันมาจับกับการแพทย์ และนี่คือ Game Changer ตัวจริง
- การคิดเงินของ ResearchKit ยังเป็นสิ่งที่ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตหรือไม่ แต่ด้วยโมเดลมาในแนวทางนี้ มีสิทธิที่จะคิดได้ไม่ยาก และเชื่อว่าก็มีคนยอมจ่าย
- ResearchKit น่าจะทำอะไรอย่างอื่นได้อีกนอกจากการแพทย์ด้วยโครงสร้างที่มี น่าดูต่อไป…
- MacBook ตัวใหม่ทำมาเพื่อให้ Match กับไลน์สินค้าที่มีอยู่แล้ว นั่นคือ iPhone และ iPad ซึ่งเดากันว่าถ้าเป็นยุคของ Jobs ไม่น่าจะมีสีอื่นแน่ๆ
- การเปิดตัว MacBook เปิดมาโท่งๆ เลย ไม่เหมือนยุคที่มี Gimmick ใส่ซองเอกสารเปิดตัว MacBook Air
- MacBook ที่ขายดีอยู่แล้ว ก็จะขายดีกว่าเดิมอย่างแน่นอน เพราะการออกหลายสีในครั้งนี้คล้ายเป็นการชิมลางและบอกว่า Apple ไม่ใช่แค่ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ทำงานอย่างเดียว แต่สามารถจับให้เข้ากันแล้วดูดีมีสกุลได้
- สีทองน่าจะขายดีที่สุด (ดูสวยกว่า iPhone 6 / 6+ เสียอีก)
- Apple Watch ไม่มีอะไรโดดเด่นนอกจาก Siri ที่ทำงานได้เร็ว (ตามที่แสดงใน Keynote)
- แบตที่ได้ 18 ชั่วโมง แต่พยายามบอกว่าใช้งานได้ 1 วัน ไม่ช่วยให้ Apple Watch ดูดีขึ้น มันคือการหลอกทั้งคนจะซื้อและหลอกตัวเอง
- ด้วยราคาที่ใกล้เคียงกัน ยี่ห้ออื่นทำได้ดีกว่า เพียงแค่ว่ามันไม่มีชื่อว่า Apple แค่นั้นเอง
- รุ่นแพงๆ ขายยากแน่นอน เพราะสมาร์ทวอทช์อายุของการขายมันสั้น เดาว่ามันก็เท่าๆ กันกับ iPhone, iPad คือ 1 ปี นอกจากว่าจะรวยแล้วเอามาอวดสาวๆ ในผับ หรือเพื่อแฟชันจริงๆ
- Apple หันมาเล่น Storytelling มากขึ้น โดยเฉพาะการดึงเอานอกมาช่วยเล่าเรื่องผ่านบล็อก เพื่อให้ดึงดูดและให้ติดตามอ่านจากการใช้งานจริงง่ายขึ้น
ทั้งหมดก็คือประมวลงาน Event พิเศษของทาง Apple ครับ หวังว่าทุกท่านจะได้รับข้อมูลกันอย่างเต็มที่ และใช้เงินกันอย่างมีสติครับ