ถ้ามองในแง่บวก การควบรวมกิจการในอุตสาหกรรมนั้นเรียกได้ว่าเป็นการกอดคอกันเติบโต วันนี้วงการงานพิมพ์ 3 มิติหรือที่เรียกว่า 3D printing ในสหรัฐฯ ก็กำลังกอดคอกันเติบโตเช่นกัน โดย “Makerbot” บริษัท 3D printing ในบรู้กลินกำลังควบรวมกับ “Stratasys” ในสหรัฐฯ เรียบร้อย
ธุรกิจ 3D printing นั้นเป็นธุรกิจน้องใหม่ที่ถูกคาดว่าจะมีอิทธิพลมากในอนาคต ปัจจุบันเทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติทำให้มีธุรกิจอย่างการตั้งตู้ถ่ายภาพที่ลูกค้าจะได้ผลงานภาพพิมพ์ 3 มิติเป็นรูปปั้นจิ๋วที่มีใบหน้าเหมือนจริง หรือรูปแบบธุรกิจใหม่ๆที่ใช้ประโยชน์จากการพิมพ์แบบ 3 มิติที่เหนือกว่ากระดาษทั่วไป
ทั้ง Makerbot และ Stratasys ต่างเป็นบริษัทที่ริเริ่มพัฒนาเครื่องพิมพ์เทคโนโลยี 3D printing ทั้งคู่ การควบรวมกิจการกันจะทำให้ Makerbot กลายเป็นบริษัทในเครือ Stratasys โดยระยะเวลา 2 ปีที่ทั้ง 2 บริษัทเป็นคู่แข่งกัน กลับสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กันและกันได้อย่างน่าตื่นเต้น
Bre Pettis ซีอีโอของบริษัท Makerbot (ในภาพด้านบน) แถลงว่าการควบรวมกับ Stratasys จะทำให้บริษัทสามารถพัฒนาเครื่องพิมพ์ของ MakerBot ได้ดีและแพร่หลายมากขึ้น ซึ่งจะทำให้เทคโนโลยี 3D สามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้ง่ายขึ้นด้วย
Makerbot นั้นเป็นบริษัทที่เพิ่งก่อตั้งมานาน 4 ปี ปัจจุบันมียอดจำหน่ายเครื่องพิมพ์ 3 มิติมากกว่า 22,000 เครื่อง โดยในช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา รายงานจาก Wall Street Journal ระบุว่า Makerbot กำลังอยู่ระหว่างการเจรจาซื้อขายบริษัท หลังจากสามารถเพิ่มทุนการดำเนินงานมูลค่า 300 ล้านเหรียญสหรัฐไปแล้ว
มูลค่าการซื้อขายของดีลนี้ถูกรายงานไว้ที่มากกว่า 400 ล้านเหรียญสหรัฐ หลังการซื้อขาย มูลค่าหุ้นของ Stratasys นั้นเพิ่มขึ้น 1% สะท้อนผลตอบรับแง่บวกจากนักลงทุน อย่างไรก็ตาม ความเคลื่อนไหวครั้งนี้ถูกมองว่า Makerbot ถอนตัวออกจากการแข่งขันตลาด 3D Print ด้วย ซึ่งถือเป็นการถอนตัวครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ 3D Print ที่เป็นรูปธรรม
ที่มา: Mashable