เอพี (ไทยแลนด์) เอไอเอส และ ธนาคารกสิกรไทย ทุ่มงบกว่า 100 ล้านบาท ผนึกกำลังมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดและศูนย์พัฒนาและส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตแห่งภูมิภาคอาเซียน (SEAC) ผุดความร่วมมืองานวิจัยเชิงลึกนาน 5 ปี ภายใต้ชื่อ The Stanford Thailand Research Consortium เพื่อค้นหาองค์กรแนวร่วมและศึกษาถึงแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนให้กับประเทศไทยต่อไปในอนาคต
คุณพอล มาร์คา ผู้บริหารระดับสูง Stanford Center for Professional Development (SCPD) มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ประเทศสหรัฐอเมริกา กล่าวว่า “มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด เล็งเห็นการเปลี่ยนแปลงในอนาคตที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก เราจึงได้เร่งคิดค้นกลวิธีเพื่อหาทางออกให้กับปัญหาดังกล่าว จนพบว่านวัตกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่เป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรต่างๆ ในแต่ละประเทศให้สามารถปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก
ยุคดิสรัปชั่นได้อย่างทันท่วงที จากการเฝ้าสังเกตสถานการณ์โลกมาอย่างยาวนาน ทำให้เราเห็นข้อเท็จจริงที่ว่า ประเทศที่เจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็วนั้น ส่วนใหญ่เป็นประเทศที่มีการทำวิจัยอย่างเจาะลึก เป็นจำนวนหลายหมื่นวิจัยต่อปี เพื่อวิเคราะห์ถึงต้นตอของปัญหาที่องค์กรกำลังเผชิญ หรือการคิดค้นและเร่งพัฒนาองค์กรสู่ “ความท้าทายใหม่ (Challenges)” ที่กำลังเข้ามา จนเกิดเป็นนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ ประสิทธิภาพสูง พร้อมประสิทธิผลที่เป็นรูปธรรม ทำให้สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุดและรวดเร็ว
สำหรับประเทศไทย มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดมองเห็นถึงความเป็นไปได้ในการพัฒนาและยกระดับศักยภาพของคนไทย รวมไปถึงขีดความสามารถในการแข่งขันขององค์กรไทย ล่าสุดเราได้เข้ามาเริ่มดำเนินการเพื่อศึกษาระบบต่างๆ ทั้งด้านเศรษฐศาสตร์ สังคมศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ และธรรมชาติวิทยา เป็นต้น
โดย The Stanford Thailand Research Consortium เป็นการรวมกลุ่มทำวิจัยระดับโลกที่เจาะลึกเต็มรูปแบบแห่งแรกของประเทศไทย เกิดจากความร่วมมือครั้งสำคัญขององค์กรที่เล็งเห็นถึงโอกาสในการยกระดับศักยภาพของประเทศไทยในอนาคต ได้แก่ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS บริษัท เอพี ไทยแลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ AP และธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ทุ่มงบประมาณกว่า 100 ล้านบาท ร่วมสนับสนุนงานวิจัย มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด
โดยมี เอสอีเอซี (SEAC) ศูนย์พัฒนาและส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตแห่งภูมิภาคอาเซียนเป็นผู้ดูแลและสนับสนุนการดำเนินการหัวข้อวิจัย
แบ่งเป็น 4 วัตถุประสงค์หลักที่สำคัญได้แก่
- การยกระดับความสามารถของคนไทยให้เท่าทันโลก
- การนำเทคโนโลยีและความคิดสร้างสรรค์มาพัฒนาธุรกิจและเศรษฐกิจไทย
- เสริมสร้างมาตรฐานคุณภาพชีวิตของคนไทยให้สูงขึ้นอย่างยั่งยืน
- ส่งเสริมการพัฒนาสังคมเมืองที่คำนึงสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน
ภายใต้โครงการวิจัยและพัฒนาหลากหลายโครงการ นับได้ว่าเป็นครั้งแรกของประวัติศาสตร์โลกและประเทศไทยที่ได้ร่วมมือกับศาสตราจารย์และผู้เชี่ยวชาญระดับสูงของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดมากกว่า 20 คน จาก 9 สาขาวิชา อาทิ คณะวิศวกรรมศาสตร์ คณะวิศวกรรมโยธาและสิ่งแวดล้อม คณะบริหารวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ คณะวิศวกรรมชีวเวช คณะวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ คณะบริหารธรุกิจ คณะภูมิศาสตร์ พลังงานและวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม คณะแพทยศาสตร์ และคณะจิตวิทยา ในการดำเนินการศึกษา ค้นคว้า และวิจัยเจาะลึกอย่างเต็มรูปแบบต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 5 ปี
เมื่อสำเร็จโครงการแล้ว จะนำข้อสรุปและผลสำเร็จของงานวิจัยมาต่อยอดในการพัฒนาและยกระดับมาตรฐานของประเทศไทย เพื่อนำ “คุณค่า” กลับคืนสู่ประเทศไทยในบริบทใหม่ ฟื้นฟูและผลักดันศักยภาพ “ทรัพยากรมนุษย์” เรื่ององค์ความรู้และต่อยอดความคิดสร้างสรรค์ เพื่อก้าวข้ามขีดความสามารถครั้งสำคัญขององค์กรไทยสู่ยุคไทยแลนด์ 4.0 อย่างเต็มภาคภูมิ และพร้อมเข้าสู่การแข่งขันเชิงธุรกิจที่จะนำไปสู่การขยายศักยภาพและการเติบโตขององค์กรบนเวทีเศรษฐกิจระดับโลกตอ่ไปในอนาคต
ด้านนางอริญญา เถลิงศรี กรรมการผู้จัดการ SEAC กล่าวว่า ปัจจุบัน สภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกยังส่งผลเชิงลบอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจากบทสรุปของ “เวิลด์ อีโคโนมิก ฟอรัม” (World Economic Forum: WEF) ประจำปี พ.ศ. 2562 ประเมินสถานการณ์ตลาดแรงงานในอีก 4 ปีข้างหน้า ว่าจะมีจำนวนงานกว่า 75 ล้านตำแหน่งหายไป และจะมีตำแหน่งงานใหม่ๆ เกิดขึ้น ถึง 113 ล้านตำแหน่ง
ซึ่งนับว่าเป็นการส่งสัญญาณเตือนให้ทรัพยากรมนุษย์ปรับตัวสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ โดยเฉพาะโซนพื้นที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลกเป็นจำนวนมาก เพราะ “คน” ในตลาดแรงงานส่วนใหญ่ยังคงทำงานในกลุ่มเกษตรกรรม
และถ้าต้องการก้าวให้ทันตามกระแสเศรษฐกิจโลก กลุ่มประเทศเหล่านี้จำเป็นต้องปรับตัวจากธุรกิจเกษตรกรรมไปสู่ธุรกิจบริการหรือนำเทคโนโลยีมาเพิ่มผลผลิตและผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ (Productivity) ให้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งอาจทำให้ “คน” มากกว่า 28 ล้านคนใน 10 ประเทศสูญเสียตำแหน่งงานเดิมภายใน 10 ปี
ดังนั้น เพื่อเป็นการป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นกับประเทศไทย หลายองค์กรและบริษัทชั้นนำต่างร่วมมือศึกษาและวิจัย เพื่อหาแนวทางในการพัฒนาทรัพยากรคนและองค์กร รวมทั้งพัฒนาขีดความสามารถทางธุรกิจเพื่อแข่งขันบนเวทีโลก
ความร่วมมือในครั้งนี้ SEAC จะเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนและช่วยเหลือการดูแลหัวข้อวิจัยในทุกๆ ด้านตลอดระยะเวลา 5 ปี เราจึงเป็นเหมือนสะพานเชื่อมสำคัญ ระหว่าง 3 องค์กร และมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด สู่ความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ของประเทศชาติในภายภาคหน้า
นอกจากนั้น SEAC ยังเล็งเห็นถึงความสำคัญของการทำวิจัยโดยเฉพาะที่เป็นในระดับประเทศเช่นนี้ เพราะจากข้อมูลสถิติทั่วโลก พบว่าประเทศที่ลงทุนและให้ความสำคัญเรื่องการทำวิจัยมากเท่าไหร่ จะส่งผลโดยตรงต่ออัตราผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) สูงขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ
SEAC จึงต้องการร่วมกับมหาวิทยาลัยระดับโลกอย่างสแตนฟอร์ดทำให้ The Stanford Thailand Research Consortium เกิดขึ้นมาในประเทศไทย โดยเราอยากผลักดันการทำวิจัยทั้งในส่วนที่เป็นการพัฒนาความสามารถขององค์กร และเพิ่มศักยภาพของคนไทยและประเทศไทยในระยะยาวเพื่อสร้างให้เกิดการเติบโตของประเทศอย่างยั่งยืน