ผู้ประกอบการส่วนใหญ่มักยึดติดใน Silicon Valley ซึ่งเป็นศูนย์กลางของนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยพวกเขาตัดสินใจที่จะก่อตั้งสำนักงานใหญ่ที่นี่โดยไม่ต้องคิดถึงที่อื่นอีกเลย แต่สำหรับเหล่า startup ส่วนใหญ่นั้น การก่อตั้งที่ Silicon Valley ไม่จำเป็นว่าจะทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จอย่างในทันที และร่ำรวยได้เพียงชั่วข้ามคืน ยิ่งไปกว่านั้น Valley ยังเต็มไปด้วยการแข่งขันตลอดเวลาเพื่อขึ้นไปสู่จุดสูงสุดในด้านความสามารถและนวัตกรรม แม้จะเป็นเรื่องที่ดี แต่ก็เหมือนเป็นสงครามของความสามารถที่อาจฆ่าล้าง startup ของคุณได้
กว่าทศวรรษ ที่ทั่วโลกมีความต้องการนำเทคโนโลยีที่มีคุณภาพสูงมาใช้ร่วมกับการพัฒนาธุรกิจ บริษัท startup ด้านเทคโนโลยีจำนวนมากจึงเริ่มแตกสาขาไปยังเมืองใหญ่ๆ ทั่วโลก เช่น มหานครนิวยอร์ก ลอนดอน เบอร์ลิน ปักกิ่ง และประเทศสิงคโปร์ ดังนั้น Silicon Valley จึงไม่ใช่คำตอบสุดท้ายสำหรับผู้ประกอบการ startup โดยเฉพาะประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นกลุ่มประเทศที่มีการผุดของเหล่า startup ขึ้นมาเป็นดอกเห็ด แถบยังมีแนวโน้มการเติบโตอย่างสูง บทความนี้จึงนำเสนอเหตุผลที่เหล่า startup ควรนำมาพิจารณาในการเปิดสาขาใหม่ หรือก่อตั้งเป็นสำนักงานใหญ่ในกลุ่มประเทศเหล่านี้ โดยจะเน้นไปที่สิงคโปร์ :
1. เป็นแหล่งธุรกิจเงินร่วมลงทุน
ธุรกิจเงินร่วมลงทุนได้หลั่งไหลเข้ามาในภูมิภาคนี้มากขึ้น เป็นเพราะแรงจูงใจที่จัดตั้งขึ้นโดยรัฐบาลของประเทศในแถบนี้เพื่อดึงดูดให้นักลงทุนจากต่างชาติเข้ามาร่วมลงทุน ส่งผลให้ธุรกิจ startup เกิดขึ้นกว่าพันธุรกิจในระยะเริ่มแรก เห็นได้จากในสิงคโปร์ ช่วง 5 ปีก่อนแทบจะไม่มีนักลงทุนเข้ามาร่วมลงทุนธุรกิจในประเทศนี้เลย แต่ปัจจุบันพบว่ามีมากกว่า 100 บริษัทเลยทีเดียว บริษัทใหญ่ๆ อย่าง Sequoia Capital, DCM และ IDG Ventures ได้ขยายสาขาในสิงคโปร์ พร้อมกับบริษัทสัญชาติญี่ปุ่น และในปัจจุบันรัฐบาลสิงคโปร์ได้ประกาศรายชื่อบริษัทอีก 5 รายใหญ่ที่เข้าร่วมธุรกิจกับทางรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็น Monk’s Hill Ventures, Jungle Ventures และ Golden Gate Ventures สถานการณ์เหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความพร้อมในทางด้านเศรษฐกิจและทรัพยากรในสิงคโปร์ สร้างความเชื่อมั่นให้กับบริษัทต่างชาติที่เข้ามาร่วมลงทุน
2. ด้วยความสามารถอันโดดเด่นและความวุ่นวายที่น้อยกว่า
จากการร่วมลงทุนที่มีมากขึ้นในภูมิภาคนี้ เปิดโอกาสให้ผู้คนได้แสดงความสามารถอันโดดเด่นจากทั่วทุกมุมโลกเพื่อที่จะใช้ประโยชน์ในโอกาสครั้งนี้ในการแสดงให้เห็นว่าบริษัทตนดีแค่ไหน แม้ใน Silicon Valley จะพรั่งพร้อมไปด้วยกว่าพันบริษัทที่ทำการรับรองว่าจะกลายเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Google หรือ Facebook ต่อไปและเสนอขายหุ้นให้กับคุณซึ่งยังไม่เป็นที่แน่ใจว่าจะคุ้มค่าหรือไม่ ในขณะเดียวกันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีขนาดตลาดที่เล็กกว่า ที่จะทำให้เหล่า startup ที่อ่อนแอไม่ได้เตรียมความพร้อมมาอย่างดีจะถูกกำจัดออกไปอย่างรวดเร็ว สามารถแสดงให้เห็นชัดเจนว่าบริษัทที่อยู่รอดคือบริษัทที่แน่จริงคู่ควรแก่การลงทุน อีกประเด็นหนึ่งคือปัญหาการตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งสร้างอุปสรรคต่อสหรัฐอเมริกาในการขาดมันสมองชั้นดี ในขณะที่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต้อนรับวิศวกรชั้นดีจากทั่วทุกมุมโลก
3. ทำงานหนักและสนุกไปกับวัฒนธรรมท้องที่
เอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีวิถีการดำเนินชีวิตที่คุณจะต้องหลงใหล คุณสามารถดื่มด่ำในสถานบันเทิงยามค่ำคืนอันยอดเยี่ยมและพักผ่อนบนชายหาดที่สวยที่สุดในโลก วัฒนธรรมท้องถิ่นนี้เป็นหนึ่งในการเติมเต็มชีวิตวันทำงานให้กับคุณได้โดยไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย startup ชาวสิงคโปร์มีค่าเฉลี่ยการทำงานมากกว่าประเทศอื่นในโลก สิ่งนี้ช่วยผลักดันให้บริษัทยกระดับไปสู่จุดสูงสุดที่พวกเขาสามารถทำได้ แต่พวกเขาก็ไม่ได้ทำงานหนักตลอดเวลา เพราะที่เที่ยวกลางคืนก็เป็นส่วนหนึ่งของคนที่นี่ รวมถึงการมีชาดหาดอันสวยงามที่สามารถไปพักผ่อนหย่อนใจได้ทุกเมื่อ
4. มีอัตราการใช้เงินสดต่ำกว่า
อัตรารายได้เสียภาษีของชาวสิงคโปร์เป็นหนึ่งในห้าของ Silicon Valley และโดยปกติจะน้อยกว่าอยู่ 5% เป็นเรื่องงานที่จะรับเงินสดมากกว่าเมื่อเทียบกับใน Valley แม้สิงคโปร์จะเป็นประเทศที่มีข้าวของแพงที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แต่นั่นแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างอย่างมากสำหรับธุรกิจในภูมิภาค
5. เป็นตลาดที่เติบโตเร็ว คู่แข่งจำนวนไม่มาก
เมื่อเทียบกับประเทศในกลุ่ม BRIC (บราซิล รัสเซีย อินเดียและจีน) เอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้นมีขนาดใหญ่กว่าบราซิลและรัสเซีย เติบโตเร็วพอๆ กับจีน ด้วยอัตราการเติบโต 8% ซึ่งยังเร็วกว่าอีก 3 ประเทศที่เหลือ ขณะคนภายนอกไม่ได้ตะหนักถึงความแตกต่างของประเทศในภูมิภาคเอเชียเท่าใดนัก แท้จริงแล้วประเทศในกลุ่มนี้มีความแตกต่างทั้งทางด้านภาษา ศาสนา และวัฒนธรรมท้องถิ่นอยู่หลายกลุ่ม นำมาซึ่งความหลากหลายของโอกาสในการดำเนินธุรกิจ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังนับว่าเป็นกลุ่มประเทศที่ยังเจริญเติบโตและมีศักยภาพในการพัฒนาได้อีกไกล อาจจะเทียบเอเชียตะวันออกเฉียงให้ได้กับประเทศจีนเมื่อ 15 ปีก่อน จากพวกที่มาเยือนจีนและตั้งหลักปักฐานทำธุรกิจที่จีน เกือบทั้งหมดของคนกลุ่มนี้เป็นมหาเศรษฐีไปแล้วในปัจจุบัน
ที่มา : The Next Web