Site icon Thumbsup

5 สัญญาณอันตราย ที่บอกว่าคุณ “ทำงานหนักเกินไป”

ความเครียดถือเป็นเรื่องปกติที่คนทำงานต้องเจอ ความท้าทายในการทำงานก็คือการจัดการกับสิ่งที่ไม่คาดคิดให้เรียบร้อย หรือการทำงานหนักและใหญ่เกินตัวให้สำเร็จ แต่คุณได้พักตัวเองหรือเปล่า การอัดงานหนักมากเกินไป มีโอกาสเสี่ยงที่จะ Burn out หรือเรียกว่าภาวะหมดไฟ ฉะนั้นวันนี้เรามาเช็คสัญญาณอันตรายก่อนที่คุณจะไม่มีเรี่ยวแรงหรือพลังในการทำงานอีก

ไม่มีสมาธิ

ความเครียดมากมายส่งผลให้เกิดอาหารนอนไม่หลับ ซึ่งเป็นสาเหตุให้การโฟกัสในการทำงานน้อยลง ยิ่งใครเจองานด่วนงานเร่ง เยอะๆ บ่อยๆ เข้า การจะต้องจำให้หมดในจังหวะที่สมองยังไม่ได้เตรียมพร้อม อาจจะทำให้เกิดสมาธิสั้นได้ ที่ร้ายกว่านั้นคือเมื่อเกิดอาการนี้ขึ้นมา มีโอกาสที่งานจะพักเหมือนโดมิโน และเสี่ยงที่คุณภาพงานจะลดน้อยลงด้วย

 

ขี้ลืมบ่อย

เมื่อเราไม่มีสมาธิเพราะสมองไม่ได้พัก อาการขี้หลงขี้ลืมก็จะเกิดขึ้นทันที เริ่มตั้งแต่ลืมของใช้ส่วนตัว ลามไปจนถึงลืมเรื่องงาน เช่น ลืมประสานงานกับคนนั้นคนนี้ ลืมเช็คเอกสาร ลืมโทรไปหาลูกค้า ลืมคอนเฟิร์มงาน งานต้องเร่งรีบไม่รอใคร แต่เราไม่พร้อมที่จะเป็นคนโฟลวทุกอย่างก็อาจจะพังมาลงตรงหน้าได้ ดังนั้น ตั้งสติให้ดีก่อนจะลงมือทำหรือจดโน้ตสิ่งที่ต้องทำและแปะไว้ในจุดที่จะมองเห็นได้ง่าย เพื่อเตือนความจำไม่ให้งานพังเสียก่อนนะคะ

 

สะดุ้งตื่นมากลางดึก

ภาวะนี้เริ่มเข้าข่ายอาการ Panic เบื้องต้น เพราะเกิดจากความเครียดสะสม ไม่สามารถจัดการความเครียดได้ จนเข้าไปอยู่ในทุกๆ ความคิดของคุณ แม้กระทั่งการนอนหลับ งานก็พร้อมจะตามไปหลอกหลอนในฝัน เป็นเหตุผลที่ช่วงดึกเวลาที่เราควรจะได้พักกลายเป็นถูกกระตุ้นให้ตื่นขึ้นมาซะงั้น จนอาจทำให้เกิดอาการอ่อนเพลีย ไม่มีแรง สมองเบลอและทำงานได้ไม่เต็มที่ด้วยนะคะ

 

อยากนอนอย่างเดียว

เมื่อทุกอย่างดูแย่ลงแล้ว สิ่งที่อยากทำที่สุดคือการไม่ต้องเจอปัญหาเลย อยากนอนอยู่เฉยๆ เพราะคิดว่าจะช่วยให้มีสมาธิในการทำงานที่ดีขึ้น แต่อาการอยากนอนอย่างเดียวแบบนี้ก็ใช่ว่าจะทำให้คุณได้หลับอย่างแท้จริงนะคะ มันเหมือนอาการอยากอยู่นิ่งๆ บนเตียงโดยไม่มีอะไรมารบกวนให้จิตใจย่ำแย่ลงไปอีก หรือแค่รู้สึกไม่อยากกลับไปทำงานในสภาวะที่สมองไม่แล่นแล้ว 

การแก้ปัญหาที่ดีคือ พักสมอง หยุดคิดสิ่งที่กำลังรบกวนจิตใจ ปล่อยวางใจให้ล่องลอยสักพัก อาจจะนั่งสมาธิหรือชมวิวเพื่อปลดปล่อยความเครียดสักนิด ก่อนจะไปสู้กับงานที่เรารักกันต่อค่ะ

 

ไม่อยากคุยกับใคร

นอกจากเรื่องงานที่กำลังย่ำแย่แล้วความสัมพันธ์กับคนใกล้ตัวก็อาจจะแย่ลงตามไปด้วย เนื่องจากความเครียดที่ตามหลอกหลอนทำให้เราไม่อยากคุย ไม่อยากพบอยากเจอหน้าใคร อยากหยุดนิ่งทุกอย่าง บางคนอาจจะแก้ด้วยการขอลาไปพัก บางคนยอมลาออกจากงาน หรือบางคนเลือกที่จะฝืนทนต่อ กลายเป็นงานที่ทั้งรักทั้งเกลียดไปซะงั้น

สิ่งที่ควรทำคือ เปิดใจและปรึกษาหรือพูดคุยกับคนที่มองโลกในแง่ดีหรือแลกเปลี่ยนทัศนคติที่ดีๆ เพื่อเสพความสบายใจและการมองโลกในแง่ดีจากคนเหล่านี้ดูค่ะ เพราะคนที่จิตใจดีเขาจะมีมุมมองที่ดีมาแลกเปลี่ยนกับเรา และอาจจะช่วยลดความเครียดที่กำลังสะสมอยู่ของเราให้บรรเทาลงได้นะคะ

งานคือครึ่งชีวิตที่เหลือหลังเรียนจบ และกินเวลาชีวิตเราไปอีกเกือบครึ่ง การหาความสุขจากงานมีได้ด้วยหลายวิธี ขณะเดียวกันความเศร้าจากงานก็มีได้หลายแบบ ซึ่งจุดเริ่มต้นแรกๆ ของปัญหาก็คือการทำงานหนักเกินไป หรือหมกมุ่นกับงานมากเกินไป

เราจะแก้ปัญหาความเครียดสะสมจากการทำงานนี้อย่างไรต่างหากคือสิ่งที่สำคัญ มากกว่าการจมอยู่กับปัญหาเดิมๆ และปล่อยให้ความเครียดอยู่กับเราต่อไป ซึ่งวิธีแก้มีหลายอย่างเช่น ปรึกษาเพื่อนสนิท จัดระเบียบวิธีทำงานใหม่ หรือจะตัดปัญหาทิ้งเลยก็ได้ ทุกคำตอบไม่มีอะไรถูกอะไรผิดเสมอ เพราะปัญหาและปัจจัยแต่ละคนไม่เหมือนกันนั่นเอง