คงเป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า Instagram นั้นเป็นหนึ่งในโซเชียลเน็ตเวิร์กที่มีิอิทธิพลต่อผู้ใช้งานจำนวนมาก ด้วยจำนวน Active Users ที่มากถึง 150 ล้านคน และ จำนวนการอัพโหลดภาพที่มากถึงล้านบาทในหนึ่งวัน Instagram นั้นจึงกลายเป็นโซเชียลเน็ตเวิร์กที่แบรนด์ต่างๆ หันมาใช้เป็นช่องทางเพื่อการสื่อสารการตลาดกันมากขึ้น
แต่ด้วยจำนวนภาพที่มีอการอัพโหลดต่อวันจำนวนมาก และด้วยฟัง์กชันหรือฟิลเตอร์ที่หลากหลาย อาจทำให้แบรนด์ต่างๆ จับทางไม่ถูกว่าพวกเขาควรเผยแพร่เนื้อหาแบบใด ใช้ฟิลเตอร์ใด ในเวลาช่วงใดบ้าง คำตอบเหล่านั้นนักการตลาดจะสามารถทราบได้ในบทความต่อจากนี้
1. ภาพ หรือ วิดีโอดีกว่ากัน?
หากใครที่ติดตามข่าวคราวของ Instagram มาอยู่ก่อนหน้านี้แล้วคงจะจำกันได้ว่า ทาง Instagram นั้นได้เปิดตัวการเผยแพร่วิดีโอหลัง Twitter เปิดตัว Vine เล็กน้อย แต่ถึงวิดีโอนั้นจะเป็นอีกหนึ่งความสามารถที่น่าสนใจ แต่รู้หรือไม่ว่าจากการผลการศึกษานั้น “ภาพ” ยังเป็นเนื้อหาที่ได้รับความนิยมมากกว่าวิดีโอ โดยภาพนั้นจะมียอดปฏิสัมพันธ์ทั้งการกด Like และ คอมเมนต์มากกว่าวิดีโอ
แต่อย่างไรก็ตามหากคุณจำเป็นต้องเผยแพร่เนื้อหาที่เป็นวิดีโอแล้ว ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการเผยแพร่วิดีโอของคุณก็คือ ช่วงเวลาหลังเลิกงาน เพราะช่วงเวลาดังกล่าวนั้น เนื้อหาประเภทวิดีโอจะสามารถสร้างยอดการปฏิสัมพันธ์ได้มากกว่ากติถึง 2 เท่า! ในขณะที่ทาง Vine ผู้ใช้งานสามารถเผยแพร่เนื้อหาที่มีความยาวได้เพียง 6 วินาที แต่บน Instagram นี้สามารถเผยแพร่วิดีโอที่มีความยาวได้มากกว่าที่ 15 วินาที ทำให้สามารถสื่อสารได้มากกว่า และช่วงเวลาดังกล่าวนั้นเองก็เป็นช่วงเวลาที่ผู้บริโภคส่วนมากจะมีเวลาในการชมเนื้อหาของคุณ
2. ฟิลเตอร์ไหนได้รับความนิยมมากที่สุด?
จากจำนวนฟิลเตอร์ที่ทาง Instagram มีมาให้อย่างหลากหลาย ฟิลเตอร์ต่างๆ นั้นให้อารมณ์ภาพต่างกันไปได้มากมาย แต่ท่ามกลางการใส่ฟิลเตอร์ต่างๆ บน Instagram ก็มีเทรนด์หนึ่งที่ได้รับความนิยมจากผู้ใช้งานจำนวนไม่น้อยนั่นคือ การอัพโหลดภาพแบบ #nofilter
แต่อย่างไรก็ตามภาพที่ไม่ได้ใส่ฟิลเตอร์ก็ยังไม่สามารถสร้างยอดการปฏิสัมพันธ์ได้มากเท่ากับภาพถ่ายที่ใส่ฟิลเตอร์ “Mayfair” จากผลการศึกษาเผยว่าภาพผ่านบน Instagram ที่ใส่ฟิลเตอร์ Mayfair นั้นสามารถสร้างยอดการปฏิสัมพันธ์ได้มากกว่าการไม่ใส่ฟิลเตอร์แต่อย่างใดถึง 30%
3. จำนวน Hashtag ที่พอดีนั้นอยู่ที่เท่าใด?
หนึ่งในขั้นตอนการเผยแพร่ภาพที่ใช้เวลามากไม่ต่างจากการถ่ายภาพ Hashtag นั้นเป็นสิ่งที่สำคัญเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการใส่ Hashtag ที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์ของคุณ หรือแคมเปญนั้นๆ ก็ตาม ซึ่งจากผลการวิจัยเผยว่าเนื้อหาบน Instagram ของแบรนด์ต่างๆ นั้นไม่ควรติด Hashtag มากกว่า 2
แต่อย่างไรก็ตามแบรนด์ส่วนมากยังคงติด Hashtag บนเนื้อหาของพวกเขาเฉลี่ยแล้วอยู่ที่ 5 Hashtag ที่น่าสนใจคือภาพของผู้ใช้งานทั่วไปที่ใช้งาน Hashtag มากถึง 11 แท็กต่อโพสต์นั้นสามารถสร้างยอดการปฏิสัมพันธ์บน Instagram ได้มากกว่าภาพของแบรนด์ที่ใช้งาน Hashtag เพียง 5 แท็กเท่านั้นถึง 42% ทั้งนี้อาจเพราะการใช้งาน Hashtag นั้นทำให้ภาพถ่ายของคุณถูกพบเห็นได้มากขึ้นบน Instagram
4. ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการเผยแพร่เนื้อหาบน Instagram คือ?
Instagram นั้นเป็นโซเชียลที่ไม่เคยหลับไหล แต่จะให้เจาะจงวันเวลาที่ภาพถ่ายบน Instagram ได้รับความนิยมมากที่สุดนั้นอาจจะต้องเป็นวันพฤหัสบดีกับการสร้างนเอื้หาในแบบ Throw Back Thursdays ที่แบรนด์และผู้ใช้งานส่วนมากแบ่งปันภาพในอดีต ไม่ว่าจะเป็นภาพถ่ายวัยเยาว์ หรือภาพที่คยได้รับความนิยมเป็นอย่างมากของแบรนด์ก็ตาม
5. ใครเป็นผู้รับสารของคุณจาก Instagram?
สิ่งที่สำคัญที่สุดที่นักการตลาดจำเป็นต้องรู้ก่อนตัดสินใจใช้ Instagram เพื่อสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายของแบรนด์ ก็คือกลุ่มผู้ใช้งาน Instagram ส่วนมากนั้นคือใคร คำตอบก็คือ 13% ของผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตนั้นใช้งาน Instagram และผู้ใช้งาน Instagram ส่วนมากนั้นคือผู้ที่มีอายุระหว่าง 18 – 29 ปี และส่วนมากเป็นผู้หญิง
6. Instagram จะสามารถทำให้นักการตลาดสร้างค่า ROI ที่ดีกว่าเดิมได้หรือไม่?
สุดท้ายแล้วหน้าที่ของ Instagram หรือโซเชียลเน็ตเวิร์กอื่นๆ ก็คือการทำให้นักการตลาดสามารถสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนได้ดีขึ้น ซึ่งหากนักการตลาดลองใช้เนื้อหาของเหล่า Influencer คนดังไว้บน Product Page ของพวกเขา วิธีดังกล่าวอาจทำให้นักการตลาดสามารถสร้างยอดขายได้มากขึ้นถึง 5 เท่า!
อีกทั้งการพูดถึงผลิตภัณฑ์ของแบรนด์นั้นๆ โดยผู้บริโภคถือเป็นส่วนช่วยเสริม SEO ให้กับแบรนด์ได้เป็นอย่างดี และ Instagram นั้นเองก็สามารถทำให้นักการตลาดรู้ได้ว่า Hastag ใดบ้างที่ใช้ได้ผล และ Influencer คนไหนที่มีอิทธิพลต่อกลุ่มเป้าหมายของแบรนด์มากที่สุด
ที่มา : Business 2 Community
ภาพ : Sharocity