PPC (pay-per-click) เป็นศาสตร์ที่อยู่คู่วงการดิจิทัลมานานแล้ว แต่คำว่า “PPC” ก็ยังถูกเข้าใจผิดว่าเป็นแค่โฆษณาแบบจ่ายเงินธรรมดาๆ หรือไม่ก็ถูกกล่าวถึงน้อยเกินกว่าความเป็นจริงอยู่ดี ถ้าถามว่าทำ PPC แคมเปญบน Search Engine จะต้องทำอะไรบ้าง อาจจะมีคนบอกว่า ก็ใส่คีย์เวิร์ดที่คุณคิดว่าคนน่าจะค้นหามัน ตามด้วยการโฆษณาเข้าไป แล้วก็ทำ minimum bid ว่าแต่… มีแค่นี้เองน่ะเหรอ? มันมีอะไรมากไปกว่านั้นไหม?
มีสิครับ เพียบเลย 7 อย่างนี้ก่อนเลย
#1 – มาเริ่มกันด้วยสิ่งที่ต้องทำอย่างแรก นั่นคือ คุณได้ใช้ AdWords Review Extensions หรือยัง? ถ้าคุณเคยได้ยินแต่ไม่เคยลง นี่น่าจะเป็นช่วงเวลาที่คุณจะต้องหันมาลองดูแล้วล่ะ เพราะจากผลการวิจัยพบว่าคุณสามารถเพิ่มจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ของคุณได้มากถึง 66% ด้วย AdWords Review Extensions และขั้นตอนมันก็ง่ายจะตาย
#2 – นอกเหนือไปจาก AdWords Reviews Extentions ในข้อ 1 แล้ว คุณได้ใช้ sitelinks บ้างหรือยัง? Sitelinks เป็นอะไรที่มากกว่าที่เราคาดคิด เราอยากให้คุณพิจารณาว่ามันเป็นเหมือนพื้นที่โฆษณาพิเศษในการสร้าง call-to-actions ให้คุณได้ โดยปกติจำนวนคาแรกเตอร์บนโฆษณาของ Search Engine ต่างๆ นั้นสั้นอยู่แล้ว แทนที่เราจะพยายามบีบอัดทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ใน ad copy เดียว ทำไมเราไม่หันมาลองใช้ sitelinks เพื่อสร้าง call-to-actions ดูกันบ้างล่ะ เห็นในภาพตรงลูกศรสีแดงไหมว่ามันทำให้ ad เราน่าคลิกขึ้นเป็นกอง
#3 – เพิ่มงบประมาณในการทำ PPC ของคุณสิ ถ้าคุณทำแคมเปญ PPC ออกมาได้ดีอยู่แล้ว อยากให้คุณลองทำให้มากขึ้นด้วยการเพิ่มงบประมาณ เพราะสิ่งที่จะได้มากขึ้นไม่ใช่เพียงแค่ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นเท่านั้น แต่ ROI ก็จะเพิ่มขึ้นเช่นกัน ลองคลิกที่ลิงก์นี้ huffingtonpost.com เพื่อดูตัวอย่างการคำนวณ ROI ได้ เราขอยกตัวอย่างสำหรับเปรียบเทียบให้ดูชัดๆ ก็แล้วกัน
ก่อนเพิ่มงบประมาณ:
• คุณใช้เงินกับ AdWords ประมาณเดือนละ 1,000 เหรียญ
• Cost per click (CPC) โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 1.5 เหรียญ
• มีการเยี่ยมชมมากกว่า 667 ครั้ง
• มี Conversion rate (อัตราการแปลงผู้ชมเป็นลูกค้า) 1%
• มีรายได้ต่อ Conversion อยู่ที่ 500 เหรียญ
• มี Conversions รวม 6.67 เหรียญ
• มีรายได้รวม 3,335 เหรียญ
• ROI = 235.5%
หลังจากเพิ่มงบประมาณ:
• คุณใช้เงินกับ AdWords ประมาณเดือนละ 10,000 เหรียญ
• Cost per click (CPC) โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 1.00 เหรียญ
• มีคนเยี่ยมชมมากกว่า 10,000 ครั้ง
• มี Conversion rate (อัตราการแปลงผู้ชมเป็นลูกค้า) 1.5%
• มีรายได้ต่อ conversion อยู่ที่ 500
• มี conversions รวม 150 เหรียญ
• มีรายได้รวม 75,000 เหรียญ
• ROI = 650%
#4 – Optimize landing page ของคุณให้ดี ถ้าคุณเคยคลิกบนโฆษณา PPC ที่เขียนไว้ว่า ลด 50%!! แต่แล้วพอคลิกบนโฆษณาและเข้าสู่ landing page คุณกลับเจอ landing page ที่โชว์ส่วนลดเพียง 25% แล้วคุณก็เสียอารมณ์คลิกออกมา งานนี้มันไม่เพียงแค่ทำให้ conversion rate ของคุณต่ำลง แต่มันยังทำให้แบรนด์คุณดูแย่ด้วย
#5 – ทดสอบ ทดสอบ และทดสอบ การทดสอบเป็นอะไรที่ต้องทำ อย่างเช่น การทำ A/B testing สำหรับโฆษณาของคุณ ซึ่งก็คือ ถ้าหาก โฆษณา A ของคุณกำลังทำงานอยู่ ด้วยอัตราคลิกที่ 20% (ซึ่งคุณพอใจกับมันแล้ว) อย่าเพิ่งปล่อยให้โฆษณาวิ่งไปเองเรื่อยๆ แต่ให้พิจารณาที่จะลงดูว่าโฆษณาแบบ B ทำงานดีกว่าหรือเปล่า มันอาจจะเป็น 40% ก็ได้ ใครจะไปรู้
* A/B Testing เป็นการทดสอบสิ่งที่เราตั้งเป้าเอาไว้โดยแบ่งเป็น 2 รูปแบบแล้วเอาผลลัพธ์มาเปรียบเทียบกันซึ่ง ผลลัพธ์ที่ได้ออกมานั้นจะเป็นรูปแบบที่สะท้อนถึงความเป็นจริง และตรงกับความต้องการของผู้บริโภคมากที่สุด โดยผลการสำรวจระบุว่า แบรนด์ที่มีการทำ A/B Testing จะมีอัตราการเปิดอ่านสูงกว่าปกติอยู่ที่ 11% รวมไปถึงอัตราการคลิกผ่านที่เพิ่มสูงกว่าปกติเช่นกันราว 17%
#6 – เปลี่ยนโฆษณาของคุณบ่อยๆ ถ้าคุณปล่อยให้โฆษณาตัวเดิมวิ่งอยู่นานเกินไป ผู้ใช้ที่ค้นหาจะคุ้นเคยกับโฆษณานั้นๆ จนสายตาหลบเลี่ยงที่จะดูโฆษณานั้นๆ ไปเอง ดังนั้นเปลี่ยนบ่อยๆ หน่อยครับ
#7 – พิจารณาลดจำนวน click rates เพื่อความเปลี่ยนแปลง อันนี้อาจจะค่อนข้างสวนทางกับความเชื่อทั่วไปสักหน่อย เพราะการจ่ายเงินโฆษณาไม่ใช่แค่ว่าจะได้กี่คลิก คลิกอาจจะไม่ใช่หน่วยวัดความสำเร็จเสมอไป เพราะถึงมีคนคลิกแต่ไม่ซื้อหรือ convert เป็นลูกค้าแล้วมันจะมีประโยชน์อะไร โฆษณาที่ดีควรจะกระตุ้นให้เกิดแทรฟฟิค และพาผู้ใช้ไปที่หน้าคิดเงินได้ดีที่สุด
การทำการตลาดผ่าน Search Engine มีรายละเอียดมากมายน่าค้นหา นักการตลาดท่านใดที่สนใจ สามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Syndacast หรืออีเมล info@syndacast.com
ที่มา: acquisio.com, huffingtonpost.com
บทความนี้เป็น advertorial