เราทุกคนรู้กันดีอยู่แล้วว่ายุคของวิดีโอมันมาแล้ว สังเกตได้จากวิดีโอไวรัลต่างๆ ที่แค่เราเลื่อนไทม์ไลน์ก็เจอ หรือแม้แต่ Facebook เองที่ประกาศว่ากำลังสนับสนุนวิดีโออย่างเต็มที่
บทความนี้รวบรวมสูตรลัด 7 วิธี เพื่อช่วยให้เงินทุกบาททุกสตางค์ที่แบรนด์ลงทุนจ่ายเพื่อทำวิดีโอแต่ละตัวคุ้มค่ามากขึ้น
1. ทำให้กระชับที่สุด
มีการถกเถียงเรื่องจำนวนเวลาที่เหมะสมในการทำวิดีโอออนไลน์ แต่แบรนด์ควรจะสามารถเล่าเรื่องราว สร้างความน่าสนใจ หรือให้ข้อมูลกับลูกค้าได้ภายในระยะเวลาไม่ถึง 1 นาที จุดสำคัญคือต้องสร้าง message ที่ชัดเจน หรือก็คืออย่าพยายามพูดให้มากเกินไป
ยอมรับเถอะว่าผู้ใช้ทุกวันนี้ให้ความสนใจกับสิ่งต่างๆ สั้นลง ยิ่งกับผู้ใช้งานในมือถือด้วยแล้ว สิ่งที่พวกเขาต้องการคือดูคอนเทนต์ที่สั้นและเฉียบระหว่างเดินทาง ซึ่งวิดีโอที่ยาวอาจจะสร้างความน่าเบื่อ ส่งผลให้จำนวนคนกดปิดคลิปสูงขึ้น
ใช้เหยื่อล่อคือเทคนิคง่ายๆ ที่สามารถช่วยเพิ่มยอดเข้าชมเว็บไซต์ วิธีการคือตัดคลิปส่วนที่เป็นไฮไลท์ลงในโซเชียล และให้คนตามเข้าไปดูตัวเต็มได้ในเว็บไซต์
2. ใส่ตัวหนังสือลงไป
มีรายงานระบุว่า ผู้ใช้ถึง 85% ดูวิดีโอใน Facebook โดยไม่เปิดเสียง ทำให้นักการตลาดส่วนใหญ่เริ่มใส่ซับไตเติ้ลไว้ในงาน หรือใช้ตัวหนังสือเล่าเรื่องราว เน้นย้ำ key message ที่แบรนด์ต้องการสื่อ
ถ้ายังไม่เชื่อ ลองทำงานที่ใส่ตัวหนังสือเทียบกับไม่ใส่แล้วดูว่า engagement ของคลิปตัวไหนดีกว่ากัน
3. ถ้าจะลงคลิปใน Facebook ก็ควรอัปโหลดผ่าน Facebook
เลือกให้วิดีโอเล่นอัตโนมัติ เมื่อลูกค้าเลื่อนมาเห็นจะได้สร้างความสนใจได้ทันที นอกจากนี้ควรอัปโหลดผ่านแพลตฟอร์มของโซเชียลนั้นๆ เพราะการแปะลิงก์จาก YouTube ลงใน Facebook ไม่ได้ช่วยอะไร มีแต่ทำให้ยอด reach ต่ำลง
ทุกโซเชียลมีเดียปรับอัลกอริทึมให้แสดงผลวิดีโอที่อัปโหลดผ่านแพลตฟอร์มของตัวเองก่อน เพราะไม่ว่าเจ้าไหนๆ ก็คงไม่อยากเสียรายได้ไปให้กับแพลตฟอร์มนอกอย่าง YouTube
4. ยอมจ่ายบ้าง
เพื่อเพิ่มจำนวน reach อย่าคิดว่ามันคือการโยนเงินลงน้ำ การจ่ายเงินอย่างมีประสิทธิภาพ เลือกกลุ่มเป้าหมายที่ใช่ พร้อมตั้งจุดมุ่งหมายให้กับแคมเปญ (ไม่ว่าจะเพิ่มยอดไลก์เพจ ยอดวิว ยอดชมเว็บไซต์ หรืออื่นๆ) สุดท้ายผลลัพธ์ที่แบรนด์ต้องการจะกลับมาเอง
5. อย่าลืมใส่แฮชแท็ก
ถ้าไม่อยากจ่ายจริงๆ ลองใช้วิธีใส่แฮชแท็ก โดยเลือกใช้คำหรือวลีที่กำลังได้รับความนิยมในช่วงนั้น แต่ไม่ใช่ว่าจะใส่แฮชแท็กอะไรก็ได้ ควรเลือกคำที่เข้ากับคอนเทนต์ด้วย
6. ถ่ายทอดสด
ต้องยอมรับว่าการทำ live กำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก (ดูได้จากจำนวนการเด้งเตือนไลฟ์ผ่าน Facebook ในแต่ละวัน) เมื่อคนดูมีการคอมเมนต์ บทสนทนาระหว่างแบรนด์กับลูกค้าก็เกิดขึ้น และช่วยสร้าง brand loyalty ได้ในที่สุด
7. ลองใช้ Influencer
ทุกครั้งที่แบรนด์ทำวิดีโอ ย่อมอยากได้ยอด engagement ให้สูงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ รวมถึงการปล่อยวิดีโอไว้ในที่ที่คนที่ใช่เห็นด้วย ซึ่ง Influencer จะสามารถตอบโจทย์ทั้งในแง่ที่ให้คนหมู่มากได้เห็น และสามารถเลือกกลุ่มเป้าหมายจากการเลือกเพจหรือ blogger ที่มีลูกเพจที่ธุรกิจสนใจ
ยุคของวิดีโอมาแล้ว และไม่น่าจะจากเราไปง่ายๆ ยิ่งแบรนด์ไหนสามารถปรับลูกเล่นในการใช้วิดีโอได้มากเท่าไหร่ ก็จะช่วยให้มีชัยเหนือคู่แข่งได้เท่านั้น
ที่มา : Adweek