สิ่งที่นักการตลาดหลายคนกังวลเกี่ยวกับเรื่องของ AI ว่าเทคโนโลยีนี้จะเข้ามาช่วยหรือทำลายอาชีพของเราอย่างไรกันแน่ ทาง thumbsup ได้รับฟังความรู้จากคุณ สุรศักดิ์ เหลืองอุษากุล นักกลยุทธ์การตลาดดิจิทัลและการตลาดออนไลน์ชื่อดังให้ความคิดเห็นเกี่ยวการวางแผนใช้งานเทคโนโลยีและเข้าใจถึงเทรนด์ AI ว่าจะเข้ามาส่งเสริมหรือ Disrupt กันแน่ค่ะ
สิ่งที่นักการตลาดกังวลเรื่อง AI หรือ Artificial Intelligence หรือ ปัญญาประดิษฐ์ นั้น ส่วนใหญ่จะกังวลว่าเทคโนโลยีจะเข้ามาทดแทนการทำงานของมนุษย์ แต่ในความเป็นจริงแล้ว เรื่องของ AI ยังเป็นเพียงแค่ตัวเลขและการคำนวณ ซึ่งยังไม่สามารถทำทุกอย่างได้แทนมนุษย์ ต้องเข้าใจก่อนว่า AI จะทำงานแทนในส่วนที่มนุษย์ไม่อยากทำ นั่นคือการทำซ้ำเรื่องเดิมๆ พูดประโยคเดิมๆ ตอบคำถามเดิมๆ ซึ่งมนุษย์ที่เป็นคนเขียนระบบจะสร้าง AI เข้ามาช่วยการแก้ปัญหานี้ เพราะในความเป็นจริงสมองของมนุษย์มีความซับซ้อนกว่านั้น เราถึงเป็นผู้สั่งการได้
ดังนั้น ถ้าเราเป็นนักการตลาด ต้องมองให้ออกว่าในอีก 5 ปีข้างหน้า AI จะเข้ามาทำอะไรตอบโจทย์เรื่องใด เพราะถึง AI จะทำซ้ำเรื่องเดิมๆ ได้ แต่เรื่องของความคิดสร้างสรรค์นั้นหุ่นยนต์ไม่สามารถทำแบบมนุษย์ได้ ถ้าอยากลงทุนด้าน AI ก็ต้องตั้งโจทย์ มี Big Data ขององค์กรที่มากพอ จากนั้นก็ค่อยมาวิเคราะห์หาเหตุผลและสรุปออกมาให้รู้ว่าต้องการผลลัพท์แบบไหน
“มนุษย์เองจะต้องเขียนข้อมูลเข้าไป เพื่อวิเคราะห์ความเป็นไปได้ทั้งหมด จากนั้นถึงจะสร้าง Actions ได้ ว่าจะซื้อโฆษณาแบบไหนถึงจะเห็นผลได้ดีที่สุด สิ่งนี้นักการตลาดจึงต้องเขียนเหตุและผลเพื่อให้ AI ช่วยดึงความน่าจะเป็นออกมาเป็นผลสรุปให้แบบไม่ต้องคาดเดาเอง ถึงจะเรียกว่ามีประโยชน์ต่อการลงทุน”
นอกจากนี้ การจัดลำดับความสำคัญของมนุษย์ผ่านสื่อทั้งออนไลน์และออฟไลน์นั้น ใช้เวลาเพียง 1.7 วินาที ยิ่งทำให้การทำสื่อไม่ว่าประเภทใดต้องโดนใจและดึงดูดให้อยากรับชมต่อเนื่อง
จากสไลด์นี้จะเห็นว่า ค่าเฉลี่ยของการใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านดีไวซ์ต่างๆ จะอยู่ที่ 9 ชั่วโมง 38 นาที ค่าเฉลี่ยการใช้โซเชียลมีเดียผ่านดีไวซ์ต่างๆ อยู่ที่ 3 ชั่วโมง 10 นาที การรับชมทีวีในแต่ละวันผ่านช่องทางต่างๆ อยู่ที่ 4 ชั่วโมง 03 นาทีและค่าเฉลี่ยการฟังเพลงแบบสตรีมมิ่งอยู่ที่ 1 ชั่วโมง 35 นาทีนั้น บ่งบอกให้รู้ว่าในแต่ละวันลูกค้าจะเจอคอนเทนต์เยอะมาก
“บนหน้า New Feed ของแต่ละคนนั้น จะมีความยาวข้อมูลอยู่ที่ 90 เมตร/วัน/คน เทียบเท่ากับคอนเทนต์ 3,000 กว่าเรื่องแล้วทำไมหรือจุดเด่นอะไรถึงจะเป็นตัวดึงดูดให้พวกเขาต้องสนใจคอนเทนต์ของคุณ”
หากตีโจทย์นี้ได้แตกคุณจะทราบได้ว่าการทำคอนเทนต์นั้น Story โดนใจไหม หรือตรงกับเขาในเรื่องไหน และคอนเทนต์ของคุณมี 4 เรื่อง คือ Inspire, Entertain, Educate, Convince หรือไม่ ซึ่งการทำโฆษณานั้นไม่ต้องมองว่าโปรดักชั่นใหญ่จะปังเสมอไป ทำเล็กๆ แต่คอนเทนต์ดีก็โดนใจผู้ชมได้เหมือนกัน
และแน่นอนว่าการส่งสารจะสำเร็จได้นั้น ต้องประกอบด้วย 3 เรื่องนี้ คือ กำหนดเป้าหมายให้ชัดว่าเป็นใคร จากนั้นค่อยเลือกคอนเทนต์ที่เหมาะสมและเอาเทคโนโลยีเข้าไปวัดผล, ส่งสารให้ตรงกับช่วงเวลาและความต้องการของลูกค้าและคอนเทนต์ที่ใช่ตรงกับสิ่งที่เป้าหมายกำลังเจอจะยิ่งทำให้ตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว
ยกตัวอย่างเช่น VR หรือ Virtual reality ที่เป็นการจำลองสภาพแวดล้อมจริงเข้าไปให้เสมือนจริง ผ่านการรับรู้จากการมองเห็น เสียง สัมผัส แม้กระทั่งกลิ่นนั้น จะช่วยเรื่องประสบการณ์ให้ผู้ซื้อได้ดีมาก แต่ไม่ควรทำคอนเทนต์นานเกินไป เพราะมันจะน่าเบื่อและคนไม่ได้มีเวลานานขนาดนั้น
แต่ถ้าคอนเทนต์ตอบโจทย์ความต้องการบางอย่างให้พวกเขาดูจนจบ อย่างบ้านหรือคอนโดที่ลงทุนทำคอนเทนต์ VR เพื่อให้ลูกค้าได้ชมตัวอย่างห้องเสมือนจริงนั้น เป็นเรื่องดีเพราะลูกค้าอยากให้สภาพห้อง ณ ขณะนั้น แต่ไม่ควรใช้เวลาเกิน 10-15 นาที เพราะนานเกินไปก็ทำให้ดูน่าเบื่อ
ดังนั้น การทำคอนเทนต์ให้ตอบโจทย์และตรงกับความต้องการของลูกค้าได้นั้น นักการตลาดควรวิเคราะห์ตลาดของตนเอง รู้จักสินค้า รู้จักลูกค้าและตามกระแสเทรนด์ให้ทัน เพื่อสื่อสารได้อย่างตรงจุดมากขึ้นค่ะ