นอกจากข่าว “Amazon เปิดตัวสกุลเงินของตัวเอง ?Amazon Coins? เพื่อใช้กับ Kindle Fire”? ยังมีข่าวการเปิดตัวแผนที่อินเทอร์แอคทีฟของ Amazon ที่เราอยากนำเสนอ เนื่องจากข่าวนี้สามารถเป็นกรณีศึกษาชั้นยอดให้กับวงการการตลาดดิจิตอลได้ และยังเป็นแรงบันดาลใจให้นักการตลาดลุกขึ้นมาประยุกต์ใช้แผนที่ในฐานะเครื่องมือทำการตลาดได้อีกทาง?ด้วยการทำแคมเปญพิเศษที่ใช้แผนที่อินเทอร์แอคทีฟเป็นเครื่องในการขายได้อย่างน่าสนใจ
เพราะเดือนกุมภาพันธ์เป็นเดือนของวันวาเลนไทน์หรือวันแห่งความรัก Amazon จึงมองว่านี่คือโอกาสดีในการทำแคมเปญจำหน่ายนิยายรักหวานแหวว แต่การทำตลาดที่ดีต้องมีธีมเรื่องราว Amazon จึงนำนิยายรักที่มีฉากในสหรัฐฯมาร้อยเรียงเป็นแคมเปญ “50 Great American Love Stories” แคมเปญนี้ Amazon ใช้วิธีสร้างแผนที่อินเทอร์แอคทีฟตามมลรัฐฯที่ปรากฏในฉากของนิยายทั้ง 50 เรื่อง โดยนำแผนที่ประเทศสหรัฐอเมริกามาลงสีชมพูพร้อมติดสัญลักษณ์รูปหัวใจซึ่งมีอักษรย่อของรัฐเพื่อบอกว่า รัฐนี้เป็นสถานที่สำคัญของนิยายรักซาบซึ้งเรื่องใดบ้าง
ท้ายแผนที่ Amazon วางเรียงภาพปกเล่มนิยายรักพร้อมกับบอกเล่าเรื่องย่อของนิยาย ซึ่งเมื่อคลิกชม ก็จะปรากฏรายละเอียดการสั่งซื้อรวมเงื่อนไขการจัดส่ง
ด้วยวิธีนี้ Amazon สามารถปลุกความสนใจของหนอนหนังสือได้ในรูปแบบที่แตกต่าง รายงานระบุว่าชาวรัฐจอร์เจียไม่น้อยอยากรู้ว่า มีนิยายรักใดบ้างที่ใช้จอร์เจียเป็นฉากสุดโรแมนติก ผู้ที่คลิกรูปหัวใจในรัฐจอร์เจียจะพบลิงก์นิยายเรื่อง Gone With the Wind ของ Margaret Mitchell ซึ่งถ่ายทอดเรื่องราวรักแท้ระหว่างสงครามได้อย่างกินใจ หรือชาวแอริโซนาที่จะไปเจอเรื่อง The Host ของ Stephenie Meyer เรื่องจริงสะท้อนสังคมที่กล่าวถึงความรักในอีกมุมมองหนึ่ง
งานนี้ Amazon เปิดกว้างให้ผู้อ่านสามารถส่งอีเมลแนะนำนิยายที่ชื่นชอบซึ่งไม่อยู่ในแผนที่นี้ได้ด้วย ซึ่งถือเป็นการเปิดช่องทางติดต่อกับลูกค้า Amazon ที่ง่ายและสะดวก เชื่อว่าจะสามารถกู้วิกฤติธุรกิจจำหน่ายหนังสือของ Amazon ที่ปี 2012 เติบโตเพียง 5% คิดเป็นอัตราเติบโตน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ Amazon ที่ก่อตั้งมานาน 17 ปี
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ Amazon ใช้แผนที่ในการโปรโมทหนังสือจนทำให้ติดอันดับขายดี ช่วงที่มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯปี 2012 ยักษ์ใหญ่ Amazon ก็ใช้แผนที่รูปสีน้ำเงินและแดงเพื่อแทนความนิยมในพรรคเดโมแครตและรีพลับริกันที่แตกต่างไปของแต่ละรัฐฯ โดยแผนที่ดังกล่าวสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการติดตามเทรนด์การอ่านหนังสือด้านการเมืองของชาวอเมริกันทั้งประเทศได้
หากแคมเปญนี้เกิดขึ้นในเมืองไทยบ้าง คนจะน่าสนใจไม่น้อย
ที่มา: Mashable