Apple Special Event 2013 งานเปิดตัวผลิตภัณฑ์สินค้าจากค่าย Apple ก็มาถึงอีกครั้งหนึ่ง กับผลิตภัณฑ์ที่หลายๆ คนรอคอยนั่นคือ iPhone รุ่นใหม่ที่จะออกมาแทนที่ iPhone 5
เป็นธรรมเนียมตามปกติที่ทางค่าย Apple จะมีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อออกมาขายในช่วงก่อนปีใหม่นี้ และนี่ก็คือรายละเอียดของงานทั้งหมดที่เอามาให้ได้อ่านกันครับ
เริ่มงานด้วยการทักทายไปยังเมืองอื่น ๆ ที่มีการถ่ายทอด Keynote ไปให้กับสื่อใน 3 เมืองใหญ่ ได้แก่ เบอร์ลิน เยอรมัน, ปักกิ่ง จีน และโตเกียว ญี่ปุ่น แต่ไม่มีการถ่ายทอดสดให้คนทั่วไปได้ดูกันนะครับ จากนั้นถึงเทศกาลดนตรี iTunes Festival ซึ่งครั้งนี้จัดเป็นครั้งที่ 7 แล้ว โดยมีผู้ที่ชมการถ่ายทอดแบบ Streaming กว่า 100 ประเทศ ผ่านอุปกรณ์จากทาง Apple สำหรับงานนี้ใครที่ได้ติดตามก็จะรู้ว่าถือเป็นงานใหญ่พอสมควรที่รวบรวมศิลปินดังๆ มาแสดงกันสดๆ ครับ
ต่อมามีการอัพเดทเรื่องร้าน Apple Store ทาง Apple มีแผนจะเพิ่มสาขาที่อยู่นอกสหรัฐฯ ให้มากขึ้น (ซึ่งน่าจะมีไทยในเร็ว ๆ วันนี้) โดยพูดถึงสาขา The Stanford ในเมือง California ที่มีขนาดเล็กแต่ผ่านการรองรับลูกค้ามากกว่า 5 ล้านรายแล้ว โดยจะมีการปรับปรุงร้านให้สวยงามและใหญ่ขึ้น และมีการแยกเป็น 2 ห้องได้แก่ ห้องสำหรับขาย และห้องสำหรับการให้บริการ
จากนั้น Tim เริ่มพูดเกริ่นเรื่อง iOS 7 ว่าเดือนนี้ทีมกำลังเร่งพัฒนาให้ iOS 7 เสร็จสมบูรณ์ และบอกว่าเดือนหน้า (ตุลาคม) จะมีอุปกรณ์ iOS ถูกส่งออกมาเพื่อขายกว่า 700 ล้านเครื่อง!
ต่อมา Tim ได้ส่งไม้ต่อให้กับ Craig Federighi ผู้ที่สร้างความฮือฮาในการ Keynote เมื่องาน WWDC 2013 ครั้งล่าสุด โดยมาพูดถึงภาพรวมของ iOS 7 ระบบปฏิบัติการณ์ล่าสุดของ Apple ที่ถูกเปิดตัวไปเมื่อครั้งที่แล้วและตอนนี้เปิดให้นักพัฒนาได้ทดสอบให้ใช้งานกัน โดยในช่วงนี้เป็นการทบทวนความสามารถของ iOS 7 ที่เปลี่ยนหน้าตาใหม่หมด ยังมีความสามารถอื่น ๆ ด้วย (อ่านงาน WWDC 2013 ได้ที่นี่ครับ)
Notification Center และ Control Center ที่เพิ่มเข้ามาใหม่ ที่เพิ่มเข้ามาความสามารถของ Siri ที่มีการปรับปรุงให้ดีขึ้น โดยมีการยกตัวอย่างด้วยการสั่งค้นหาข้อความทวีตซึ่งสามารถหาได้อย่างง่ายดาย (ต้องยอมรับว่าหลายอย่างบน iOS 7 ถูกปรับปรุงมาให้ถูกจริตการใช้งานมากขึ้น แม้จะโดนคำครหาว่าลอกแอนดรอยด์มาก็ตามที)
ด้านการถ่ายรูปและการจัดการรูปที่ทำออกมาให้ใช้งานง่ายขึ้น ซึ่งใครที่ได้ใช้งานในช่วงการทดสอบนี้ก็จะพบว่ามันเป็นเรื่องจริงครับ
iOS 7 จะเปิดให้ใช้งานและอัพเดทอย่างเป็นทางการในวันที่ 18 กันยายนนี้ โดยอุปกรณ์ที่สามารถจะอัพเดทได้ก็คือ iPhone ตั้งแต่ iPhone 4 ขึ้นไป, iPad 2 จนถึงรุ่นล่าสุด, iPad mini และ iPod Touch รุ่นที่ 5
Tim กลับมาด้วยการพูดถึงซอฟท์แวร์ของ Apple ที่มีมาให้ใช้อย่างนมนานนั่นคือตระกูล iWork ได้แก่ Keynote, Pages และ Numbers รวมทั้ง iLife ได้แก่ iPhoto และ iMovie โดยประกาศออกมาว่าจะแจกฟรีให้กับผู้ใช้งานที่ซื้อเครื่องใหม่ ซึ่งราคาของแอพเหล่านี้จะอยู่ที่แอพละ 4.99 และ 9.99 เหรียญสหรัฐฯ ส่วนคนใช้เครื่องเก่าๆ ก็ยังคงต้องเสียเงินเหมือนเดิม
สำหรับการบ่งบอกว่าจะได้รับแอพตระกูล iWork และ iLife มาใช้งานฟรี ๆ ทาง Apple จะวัดกันด้วยการ Activate เครื่อง โดยเครื่องที่ activate หลังวันที่ 1 กันยายนจะได้รับสิทธิ์การโหลดฟรีโดยอัตโนมัติครับ
ต่อมาเป็นเรื่องที่หลายคนรอคอยกับ iPhone ตัวใหม่ที่จะมาแทนที่ iPhone 5 ของใครหลายๆ คนที่ตกรุ่นไปพร้อมกับผม (ฮา) โดยมีการเกริ่นก่อนว่ายอดขายยิ่งรุ่นใหม่ๆ ยิ่งมียอดที่สูงขึ้นเรื่อยๆ (กราฟสวยมาก) และเริ่มเกริ่นเข้าว่าก่อนหน้านี้เราใช้วิธีการลดราคา iPhone รุ่นเก่าพร้อมกับเปิดตัว iPhone รุ่นใหม่ แต่ในครั้งนี้เราไม่ทำอย่างนั้นแล้ว พร้อมกับ Keynote ที่เป็นรูป iPhone 2 ตัว ก่อนที่จะส่งเวทีให้กับ Phil Schiller ได้ขึ้นมาแนะนำ
ตัวแรกที่ถูกแนะนำก็คือ iPhone 5c ซึ่งมีสีทั้งหมด 5 สี ได้แก่ เขียว(ปรี๊ดมาก), ขาว, ฟ้า, ชมพู และเหลือง โดยลักษณะจะเหมือนการเอา iPhone 5 มาถอดออกแล้วใส่ฝาหลังสีสันสวยสดใสไปแทน
และด้านหลังนั้นจะใช้วัสดุที่เรียกว่า hard-coated polycarbonate ที่ Phil บอกว่าทนทานไม่ก๋องแก๋ง และมาพร้อมกับเคสรูพรุนที่ทำจากยาง โดยขายแยกต่างหาก ราคา 29 เหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 900 บาท (ซึ่งแพงครับ!)
Spec โดยรวมแล้วแทบจะเหมือนกับ iPhone 5 จริงๆ โดยมีข้อแตกต่างอยู่ที่การใส่ iOS 7 มาให้เลย และมีแบตเตอรี่ที่มีความจุเพิ่มมากขึ้นครับ
ราคาที่วางขายที่สหรัฐฯ จะอยู่ที่ 99 เหรียญสหรัฐฯ สำหรับความจุ 16GB และ 199 เหรียญสหรัฐฯ สำหรัความจุ 32GB โดยราคานี้เป็นแบบติดสัญญา 2 ปีนะครับ
และนี่คือ iPhone 5c ที่เขาบอกว่า c มาจาก Cheap หรือ Color …หรือจะเป็น Candy Crush หนอ (ฮา)
iPhone ตัวต่อไปคือ iPhone 5s…
มีการเปิดตัวสีใหม่ล่าสุด นั่นคือสีทอง ส่วนสีดำที่เคยถูกเรียกใน iPhone 5 ก็ถูกเรียกชื่อใหม่เป็น Space Gray
มี 3 สิ่งที่ถูกนำมาพูดถึง ซึ่งถือว่าเป็นจุดขายหลักของ iPhone 5S เลยได้แก่ CPU รุ่นใหม่ล่าสุด A7 ที่ใช้สถาปัตยกรรมในการออกแบบ 64-bit ซึ่งเป็นสมาร์ทโฟนตัวแรกและตัวเดียวของโลกในตอนนี้ที่ใช้สถาปัตยกรรมนี้
ซึ่งทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้าสูงขึ้นกว่าเดิม โดยเทียบกับ iPhone รุ่นแรก CPU ดีขึ้นกว่าเดิม 40 เท่า และด้านกราฟฟิคเร็วขึ้นกว่าเดิม 56 เท่า
นอกจาก A7 แล้ว ยังมีอีก Chipset นึงที่ทำออกมาเพื่อทำงานร่วมกัน มีชื่อเรียกว่า M7 โดยทำออกมาเพื่อรองรับการจับการเคลื่อนไหวของร่างกาย ซึ่งก็สนับสนุนเทรนด์ที่เกี่ยวกับสุขภาพที่มีอุปกรณ์และแอพออกมาอย่างมากมายในปัจจุบัน
ถึงแม้อะไรก็ตามจะดูใช้ทรัพยากรสูงมาก ทั้ง CPU และ M7 แต่เรื่องแบตเตอรี่นั้นทาง Phil บอกว่าดีกว่า iPhone 5 ซึ่งเมื่อมีการใช้งานจริงก็ต้องมาดูกันอีกที
อย่างต่อมาคือเรื่องกล้อง ซึ่งมีข่าวลืออย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นความละเอียดของภาพที่น่าจะออกมาเกิน 10 ล้านพิกเซลและอื่นๆ
สิ่งแรกที่มีการปรับปรุงคือ ขนาดรูรับแสง ซึ่งจากเดิมเป็น f2.4 ใน iPhone 5s เป็น f2.2 (ยิ่งน้อยยิ่งดี เพราะยิ่งจะช่วยให้ถ่ายภาพในแสงน้อย) และมีการเพิ่มขนาดของ Pixel ให้ใหญ่ขึ้น โดย Phil บอกว่ามันจะทำให้ภาพสวยขึ้นโดยไม่ต้องเพิ่มจำนวน Pixels ให้เยอะขึ้น รวมทั้งในตัวแอพ Camera ที่มากับ iOS 7 จะมีการตั้งค่า white balance, exposure, auto fucus ทั้งหมด 15 ส่วนของภาพอัตโนมัติ เพื่อช่วยให้การถ่ายภาพและภาพนั้นดีขึ้น
และสามารถถ่ายภาพรัว ๆ และเลือกภาพที่ชัดที่สุดและดีที่สุดมาให้ด้วย
เรื่อง Flash ที่มีการเพิ่มเป็น 2 ดวง โดยสีนึงจะเป็นสีขาวให้โทนเย็นและสีเหลืองให้โทนอุ่น โดยเมื่อถ่ายแล้วจะมีการปรับสีของแฟลชให้เหมาะสม ซึ่งสามารถจะเกิดลักษณะการผสมกันของแสงได้มากกว่า 1,000 รูปแบบ
การสนับสนุนการถ่ายภาพยังมีการกันสั่นแบบอัตโนมัติ (image stabilization) และการถ่ายภาพต่อเนื่องได้ 10 รูปต่อวินาที โดยตัวแอพจะช่วยเลือกว่าภาพใดดีที่สุดให้อีกด้วย
และวิดิโอ ถ่ายได้ด้วยความละเอียด 720p 120 Frame per second ซึ่งสามารถทำให้เราถ่ายรูปในรูปแบบ Slo-mo หรือจับภาพการเคลื่อนไหวทีละเฟรมได้จำนวนภาพเยอะขึ้น
เรื่องที่ 3 เป็นเกี่ยวกับความปลอดภัย ซึ่งโดยปกติแล้วเพื่อความปลอดภัยก็จะมีการตั้งรหัสผ่าน Passcode แต่สำหรับบน iPhone 5s แล้ว เลยคุณสมบัติล่าสุดนั่นคือ Touch ID หรือระบบตรวจสอบด้วยการใช้ลายนิ้วมือมาช่วย ซึ่งเป็นการทำฮาร์ดแวร์ขึ้นมาฝังที่ตรงตำแหน่งปุ่ม Home เลย โดยทาง Phil บอกว่าปุ่มนี้จะมีความทนทาง ไม่ลอกง่ายเพราะทำจากกระจก Sapphire
โดยหากเปิดใช้งาน Touch ID แล้วจะสามารถปลดล็อคเครื่อง และทดแทนการกรอก password เพื่อซื้อแอพบน App Store และ iTunes Store ไปเลย (ซึ่งเป็นปัญหากับทุกคนจริงๆ ) และหลายคนคงกังวัลว่า ลายนิ้วมือของเราจะถูกเก็บบันทึกขึ้นไปบน iCloud หรือไม่ คำตอบที่ทาง Phil บอกนั่นคือ จะไม่มีการเก็บข้อมูลเหล่านี้ครับ สบายใจได้
ทั้ง 3 สิ่งนี้คือสิ่งที่จะอยู่บน iPhone 5s ครับ
สำหรับการวางขายนั้น จะมี 9 ประเทศที่เริ่มได้จองก่อนในวันศุกร์ 13 นี้ สำหรับ iPhone 5c (เลือกวันจองได้ไม่เกรงกลัวอะไร) และเริ่มรับของได้จริงวันที่ 20 กันยายน ส่วน iPhone 5s นั้นเริ่มสั่งของได้ตั้งแต่วันที่ 20 กันยายนเป็นต้นไป โดยครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่จะเริ่มเปิดตัวในเมืองจีนเป็นครั้งแรก ซึ่งก็ถือเป็นการบุกตลาดจีนสำหรับ Apple อย่างเป็นทางการ รวมทั้งในญี่ปุ่นค่ายใหญ่ทั้ง 3 ค่ายอย่าง Softbank, KDDI, and NTT DoCoMo และจะวางขาย 100 ประเทศทั่วโลกภายในสิ้นปีนี้
iPhone 5 ที่หายไปจากตลาด
การมาของ iPhone 5c และ 5s ทำให้ iPhone 5 ตกรุ่นและเลือกทำการผลิตไปโดยปริยาย เนื่องจากการทับซ้อนกันเองของตลาด แต่ iPhone 4S นั้นยังคงมีขายตามปกติครับ โดยราคาใน Apple Store Thai อยู่ที่ 14,900 ขนาด 8GB
แล้วราคา iPhone 5c และ 5s ในเมืองไทยหล่ะ
ในวันที่เปิดตัวนี้ยังไม่มีข้อมูลที่แน่นอนนะครับ แต่โดยปกติแล้วราคาที่สามารถอ้างอิงได้ใกล้เคียงที่สุดคือราคาเครื่องจากประเทศฮ่องกง โดยมีราคาแต่ละรุ่นและขนาดดังนี้
โดยมาดู iPhone 5s ก่อนนะครับ ถ้าเทียบกับราคาปัจจุบันที่ค่ายมือถือในไทยยังคงมีอยู่ ก็ถือว่าไม่ต่างจากเดิมนัก ซึ่งก็เป็นธรรมเนียมของ Apple อยู่แล้วว่าออกรุ่นใหม่แล้ว ราคาต้องเท่าเดิม…
ส่วน iPhone 5c ที่มีเสียงบ่นกันในระหว่างการ Keynote ว่าราคาไม่ถูกสมกับชื่อ (ที่ติ๊ต่างกันไปเองว่า C มาจาก Cheap) และมีข่าวลือจากสื่อหลายสื่อ รวมทั้งสื่อหลักที่ออกมาอ้างอิงว่าจะมีราคาตั้งแต่หลักพัน ถึงหมื่นต้นๆ แต่พอออกมาจริง ๆ แล้วก็มีราคาถึง 20,000 บาท
อย่าลืมว่า iPhone 5c ที่ออกมานี่ก็คือทุกอย่างเหมือนกับ iPhone 5 ที่ตกรุ่นไปแล้ว ดังนั้นการตั้งราคาก็จะออกมาในสไตล์เดียวกับตอนที่ iPhone 5 ออกมาใหม่ๆ แล้ว iPhone 4S ก็ขยับราคาลงมานิดหน่อย ดังนั้น ราคาของ iPhone 5c ที่ถูกตั้งขึ้นมาก็ใกล้เคียงกับที่ Apple เคยทำมาครับ
หมดความว้าว?
เป็นคำถามที่ใครหลายคนคงพูดในใจว่า อะไรกัน ไม่มีอะไรให้ตื่นเต้นแล้วเหรอ? นวัตกรรมใหม่ ๆ หล่ะ?
ผมก็คงตอบได้ว่า Touch ID คือคำตอบนึงครับที่เป็นอะไรใหม่ในงานนี้ ส่วนอย่างอื่นเราว้าวไปหมดแล้วในงาน WWDC 2013 เพราะเป็นการเปิดตัว iOS 7 ส่วนสิ่งที่ทำให้หมดว้าวก็คือข่าวภาพหลุดที่ประดังประเดเข้ามาไม่ขาดสาย จนเมื่อถึงวันงานพอเราเห็นภาพ เราก็บอกแต่ว่า เห็นม่ะ ตามภาพหลุดเลย…
ผมชอบงานครั้งที่แล้วครับว่า การเปิดตัว MacPro ทำให้คนว้าวแบบขั้นสุดจริง ๆ เพราะทุกอย่างทำที่อเมริกา ภาพที่หลุดออกมาก็แทบเป็นศูนย์ เจอกันในงานรอบเดียว ว้าวกันไปเลย…
ถ้าอยากให้ว้าว iPhone ทั้งหมดคงต้องไปผลิตในประเทศที่ไม่ใช่จีนครับ รับรองว้าวแน่นอน (ซึ่งไม่น่าเป็นไปได้อีกนั่นแหละ)
…………………………………………………………….
จบแล้วสำหรับงาน Special Event 2013 ที่เปิดตัวสินค้าตามที่ข่าวหลุดมาแทบจะทั้งหมด ทั้งนี้ก็ยังเหลือสินค้าตระกูล iPad นี่รอจ่อคิวออกช่วงปลายปีนี้ แล้วเราจะมาติดตามต่อกันครับว่าจะเข้ามาขายในเมืองไทยเมื่อไหร่
หยอดกระปุกกันครับ…
ที่มา: The Verge Live Blog