เช้าวันที่ 21 มีนาคม ตามเวลาในสหรัฐ หรือตรงกับบ้านเราคือเที่ยงคืน มีการจัดงาน Apple Special Event อย่างที่ข่าวหลุดๆ กันมาว่างานนี้จะเป็นการเปิดตัว iPhone จอเล็ก 4 นิ้ว และอื่นๆ ที่ไม่มีข่าวเล็ดลอดใดๆ วันนี้เรามีสรุปมาให้อ่านกันแบบเร็วๆ ครับ
Environment
- Apple หยิบเรื่องนี้มาพูดก่อนใครเพื่อน เนื่องจากตัวเองค่อนข้างเป็นผู้นำในเรื่องนี้อย่างชัดเจน เมื่อเทียบกับคู่แข่ง หรือแม้กระทั่งอุตสาหกรรมอื่น
- มีโปรเจคตั้งขึ้นมา ชื่อว่า Liam เป็นหุ่นยนต์ที่ช่วยในการแยกชิ้นส่วนของ iPhone เพื่อใช้ในการ Recycle โดยสิ่งที่แยกออกไปนั้นถูกเอาไปทำสิ่งต่างๆ เช่น แผง Solarcell เป็นต้น
- เครมว่ากล่องกระดาษของ iPhone ผลิตขึ้นด้วยกระดาษ Recycle 99% หรือมาจากป่าที่มีการจัดการอย่างยั่งยืน (Sustainably Managed Forest)
CareKit
- ResearchKit และ HealthKit ประสบความสำเร็จอย่างมากหลังจากที่เปิดตัวไป
- CareKit คือตัวเสริมขึ้นมาของ ResearchKit เน้นทางการแพทย์เป็นหลัก
- สามารถส่งข้อมูลของคนไข้ไปยังหมอได้โดยตรงเพื่อติดตามอาการ โดยไม่ต้องรอให้ถึงนัด เพราะดูได้ทันที
- ด้านการแพทย์น่าจะเป็นตลาดที่คงจะหาใครตี Apple ได้ยากขึ้นไปอีกด้วยความเชี่ยวชาญและความสัมพันธ์ของหน่วยแพทย์ในมหาวิทยาลัยชื่อดัง
Apple Watch
- Tim บอกว่า Apple Watch เป็นเบอร์ 1 ของ Smart Watch ที่ขาย
- มีการเพิ่มสายขึ้นมาใหม่ในชื่อ Woven Nylon สีสันสวยสดใสมากขึ้น เส้นละ 1,900 บาท
- มาพร้อมกับราคาที่มีการปรับลงในรุ่น Watch Sport 2,000 บาท
- 38มม. จาก 13,500 เหลือ 11,500 บาท
- 42มม. จาก 15,500 เหลือ 13,500 บาท
- ราคาใหม่ เริ่มขายตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป (สำหรับคนเพิ่งจะหวดมาทำได้แค่ตบบ่า)
iPhone SE
- ว่ากันว่า SE มาจาก Special Edition ไม่ใช่ Small Edition
- Apple มองว่าตลาดของคนที่เข้ามาใช้ iPhone ใหม่ ที่ย้ายมาจากค่ายอื่นๆ ยังมีอยู่เยอะมาก แต่ก็ยังมีอุปสรรคอยู่ที่จอที่มีขนาดใหญ่อยู่ Apple จึงเข็น iPhone SE ขึ้นมาเพิ่มอีก 1 Line โดยเอามาแทนที่ iPhone 5S
- ไส้ใน (สเปค) ของ iPhone SE ก็คือ iPhone 6S แรง เร็วปรู๊ดปร๊าด ทำเอาคนใช้ iPhone 6 และ 6 Plus มองด้วยความอิจฉา เพราะเรามีดีแค่จอใหญ่
สิ่งที่ไม่ยอมบอกคือ RAM ที่จะให้มาขนาดเท่ากับ iPhone 6S หรือไม่ แต่หากให้เดา อาจจะได้น้อยกว่า 2GB เพราะ…RAM 2GB เท่ากับรุ่นพี่อย่าง iPhone 6S- ราคาที่เปิดมาอยู่ที่ 399 เหรียญสหรัฐ หรือเมืองไทยน่าจะอยู่ที่ 15,900 (ฮ่องกงราคาประมาณ 15,200 บาท) และ 19,900 บาท
- โครงเครื่องทุกอย่างเหมือนเดิม (iPhone 5S) เพิ่มเติมคือสี Rose Gold (หมดมุขแล้วจริงๆ Apple)
- แต่การหมดมุขของ Apple กลับกลายเป็นสิ่งที่น่าจะตอบโจทย์คนชอบจอเล็กอย่างมาก เพราะกลุ่มผู้ใช้งานหลายๆ คนยังคงชอบขนาดที่พกพาง่ายอยู่
Apple TV
- เน้นที่ตัว Content ที่จะมีช่องต่างๆ มากขึ้น จาก Partner
- เพิ่ม Feature สร้าง Folder ได้เหมือนบน iPhone, iPad
- และ SIRI บน Apple TV ที่สามารถสั่งหาข้อมูลบนนั้นหรือจะหาแอปบน App Store ได้ทั้งหมด
- Update tvOS 9.2 ได้แล้วบนเครื่องของคุณครับ
iPad Pro
- เมื่อปลายปี มี iPad Pro จอใหญ่มาแล้ว ถึงคราวที่ต้องมีจอเล็กบ้าง
- iPad Pro ตัวนี้มีขนาดจอเท่ากับ iPad Air หรืออยู่ที่ 9.7 นิ้ว โดยความเบาจะเบากว่า 1 ปอนด์ (ประมาณ 450 กรัม)
- สเปคแทบจะเหมือนกับ iPad Pro จอใหญ่ รองรับ Apple Pencil และ Keyboard Case ที่ทำออกมาโดยเฉพาะ
- ราคากดให้ต่ำลงมา เริ่มต้นที่ 22,900 สำหรับ 32GB Wi-Fi (เดี๋ยวจะมีขายแบบใส่ซิมด้วย แต่ราคายังไม่ออก)
- นอกจาก 32GB แล้ว ยังมี 128GB และเป็นครั้งแรกกับการมีความจุ 256GB
- ทำให้นึกถึงว่า iPad Air ที่ยังอยู่ในตลาด อนาคตจะเป็นอย่างไรเมื่อมี iPad Pro หรือเขาต้องการจะแยกกลุ่มไปเลยว่าคนทั่วไปใช้ Air อีกพวกคือต้องการ iPad แรงๆ ก็ใช้ Pro
iOS 9.3
- เพิ่มคุณสมบัติหลายอย่าง เช่น Night Shift ที่ในงานพยายามดันเหลือเกิน, Notes ที่มี Security ในการเข้าถึงการอ่านได้ (ใช้ Touch ID ก่อนเปิด), News ที่จะปรับปรุงการเลือกข่าวมากขึ้น, CarPlay ทำงานได้ดีขึ้น ฯลฯ
- Night Shift คือการปรับโทนสีของหน้าจอให้เข้ากับบรรยากาศของห้องได้ เช่น ตอนจะนอน หากใช้งาน iPhone, iPad หน้าจอก็จะ Dim แสงและปรับสีของหน้าจอให้สบายมากกว่าเดิม (ใน Keynote บอกว่าจะหลับสบายขึ้น)
- อัปเดทได้แล้ววันนี้ หากเน็ตเร็วพอ (แต่ขอว่าอย่าใช้เน็ตออฟฟิสเลย สงสารเพื่อนแอนดรอยด์เขา)
เตรียมเปลี่ยนห้อง
งานนี้เป็นครั้งสุดท้ายที่จะมีการแถลงข่าวในห้อง Auditorium นี้ เพราะในปีหน้าจะเปลี่ยนสถานที่เป็น Campus แห่งใหม่แทน ห้องนี้ก็จะเหลือเพียงแค่ความทรงจำว่า ครั้งหนึ่ง Steve Jobs เคยเปิดตัว iPod เครื่องฟังเพลงที่ปฏิวัติอุตสาหกรรมเพลงจนถึงทุกวันนี้
วิพากษ์
ตั้งแต่ชม Keynote มาหลายปี ครั้งนี้น่าจะเป็นครั้งที่ห่วยและไร้พลังที่สุดตั้งแต่เคยจัดมา ทุกคนแม้กระทั่ง Tim Cook เองก็ยังนำเสนอสิ่งที่จะมอบให้กับผู้ใช้แบบไม่มีคุณค่า
คนที่น่าเตะที่สุดสำหรับผมก็คงจะเป็น Greg Joswiak คนที่ขึ้นมานำเสนอ iPhone SE ที่พูดประโยคที่ไม่ควรจะหลุดออกมาอย่าง “เอาหล่ะ เรามี iPhone รุ่นที่หลายคนรู้ชื่อกันมาอยู่แล้ว” แถมยังหัวเราะออกมาอีก ทำให้ Product ที่มันไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจอยู่แล้วติดลบไปกว่าเดิม
จะเว้นแต่ Phil Schiller ที่ยังคงความเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองไว้อยู่ ทำให้งานมันพอจะมีอะไรให้ติดตามบ้าง
คนที่หายไปจากเวทีคือ Federic แต่ยังนั่งชมที่เก้าอี้ และ Jony Ive หายไปจากสาระบบรวมไปถึงไม่มีแม้แต่วิดีโอที่มาลุงแกเป็นคนแนะนำ iPad Pro อย่างครั้งที่ผ่านมา ไม่มีใครรู้ว่าแกหายไปไหน หรือแกกำลังเตรียมลอง WWDC ปีนี้หรือไม่
ตัวผลิตภัณฑ์ที่เปิดมาใหม่ไม่มีอะไรน่าสนใจ สายนาฬิกาใหม่, iPhone จอเล็กลงทรงเดิม, iPad Pro จอเล็กลง ทุกอย่างไม่สามารถดึงความน่าสนใจออกมาได้เลย เว้นเสียแต่การนำเสนอในช่วงแรกที่ผมมองว่าน่าสนใจที่สุดเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมและแขนหุ่นยนต์ Liam และเรื่อง Health อย่าง CareKit
สรุปบรรทัดสุดท้ายคือ บ่นไปก็เท่านั้น เรื่องว้าวเลิกพูดถึงได้แล้ว เพราะผลิตภัณฑ์ Apple ก็ยังขายดี(มาก)เหมือนเดิมครับ
ภาพบางส่วนจาก TheVerge