หลังจากส่งบัตรเชิญเข้าร่วมงานไปเมื่อปลายอาทิตย์ที่แล้ว ก็ถึงวันงานจริงสำหรับ Apple Special Event เดือนตุลาคม 2013 ที่มีการคาดกันว่าจะมีการเปิดตัวสินค้าหลายๆ ตัว มาดูกันว่าในงานนี้มีการพูดถึงอะไรบ้างครับ
การเปิดตัว iPhone ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและ iOS 7
วิดิโอ Designed By Apple – Intention ที่เคยถูกเปิดเมื่องานเปิดตัว iPhone 5s และ 5c ฉายขึ้นมา เมื่อจบวิดิโอ Tim Cook ก็ขึ้นเวทีพร้อมกล่าวคำทักทายผู้ที่มาร่วมในงาน โดยสิ่งแรกที่เขาพูดถึงนั้นคือความชื่นชอบวิดิโอนี้ของเขา และเริ่มพูดถึง iPhone ทันที มียอดขาย 9 ล้านเครื่องด้วยเวลาเพียงแค่ 3 วันหลังวางขาย หลังจากนั้นก็มีภาพประมวลการณ์ขายในที่ต่างๆ รอบโลกมาให้ดูกัน
หลังจากนั้นก็กลับมาพูดถึง iOS 7 ที่มีการเปลี่ยนแปลงไปมากที่สุดโดยเฉพาะการออกแบบ ปัจจุบันมีผู้ใช้งาน iOS 7 มากถึง 64% แล้วซึ่งถือว่าสูงมากๆ และ 1 ในคุณสมบัติที่มีมาให้ใหม่คือ iTunes Radio ที่เปิดบริการให้เฉพาะผู้ที่ใช้ Apple ID US เท่านั้น ตอนนี้มีผู้ใช้งาน 20 ล้านคนและมีเพลงถูกเปิดไปกว่า 1 พันล้านครั้งแล้ว และจำนวนแอพบน App Store มีครบ 1 ล้านแอพเป็นที่เรียบร้อย และมีจำนวนการดาวน์โหลดเกิดขึ้นมากกว่า 60,000 ล้านครั้ง
OS X Mavericks มาอย่างเป็นทางการแล้วพร้อมเซอร์ไพรส์
Tim ได้เกริ่นถึง Mac ว่าตอนนี้ถือเป็นผู้นำทางด้าน Desktop และ Notebook ไปแล้ว ด้วยการออกแบบทั้งตัว hardware และระบบปฏิบัติการณ์ พร้อมกับมีแอพให้ใช้งาน ยิ่งทำให้มีประสิทธิภาพล้ำหน้ากว่าใครเพื่อน ในขณะที่คู่แข่งรายอื่นๆ ยังคงมึนงงสับสนว่าเขาจะทำอะไรกันแน่ ไม่ว่าจะเป็นการทำให้ PC มาเป็นแท็บเล็ต หรือทำแท็บเล็ตมายัดใส่บน PC ซึ่งเราก็ไม่รู้หรอกว่าเขาคิดจะทำอะไรประหลาดๆ ต่อไปยังไง (ฮา)
จากนั้นส่งไม้ต่อให้ Craig Federighi ขึ้นมาพูดถึง OS X Mavericks ที่ถูกเปิดตัวไปเมื่องานครั้งที่แล้ว (ซึ่งถ้าจะให้นับนี่คือครั้งที่ 3) โดยสิ่งที่ถูกหยิบยกขึ้นมาคือการผสมผสานกันระหว่าง เทคโนโลยี, คุณสมบัติ และแอพพลิเคชัน ที่ทำให้ Mavericks ดูน่าสนใจขึ้น สิ่งแรกที่ Craig พูดถึงก็คือ Mission ที่ใหญ่ที่สุดนั่นคือการเข้าไปอัพเกรดฮาร์ดแวร์เบื้องต้น โดยสิ่งที่เขาทำก็คือทำให้ Mavericks สามารถรองรับการใช้งานการเข้าเว็บและดูวิดิโอผ่าน iTunes ได้นานขึ้น
คุณสมบัติใหม่ล่าสุดที่ถูกหยิบมาพูดก็คือ Compress Memory หรือการบีบอัดหน่วยความจำ โดยอธิบายง่ายๆ คือ Mavericks จะทำการบีบหน่วยความจำที่ถูกไม่ใช้งานให้เพิ่มขนาดมากขึ้น เพื่อใช้ในการใช้งานเปิดแอพหรือโปรแกรมได้เพิ่มขึ้น ซึ่งทาง Craig บอกว่าสามารถจะทำให้ข้อมูลในหน่วยความจำขนาด 6 GB ทำงานได้บน RAM 4 GB นอกจากนั้นยังมีการพูดถึงเรื่องการแสดงผลกราฟฟิก โดยมีการใช้หน่วยความจำที่น้อยกว่าเดิมเมื่อเทียบกับ Mountain Lion
การปรับปรุงความสามารถของ Notification ให้หลากหลายมากขึ้น, การสร้าง Tag และการค้นหา รวมทั้งการจัดการการแสดงผลหลายๆ จอ แอพแผนที่แบบใหม่ และ iBooks แบบใหม่ก็ถูกหยิบมาพูดถึงอีกในครั้งนี้จากนั้นก็เป็นการ Demo การใช้งานครับ
สิ่งที่สร้างความน่าสนใจขึ้นทันทีนั่นก็คือการประกาศราคา ซึ่งปกติแล้ว OS X นั้นจะเผยราคาซึ่งก่อนหน้านี้ Mountain Lion จะขายอยู่ที่ราคา 19.99 เหรียญสหรัฐฯ แต่ครั้งนี้ OS X Mavericks แจกฟรีครับ! โดยไม่ว่าผู้ใช้งานจะใช้ Snow Leopard, Lion, Mountain Lion อยู่ก็สามารถ Upgrade ได้โดยไม่ต้องเสียเงินแต่อย่างใด เพียงแต่รุ่นที่จะสามารถ Upgrade ได้จะเป็นรุ่นตามภาพครับ และสามารถ upgrade ได้เลยตอนนี้ (ผมเองก็ลงไปเรียบร้อยแล้ว)
ถึงคิว New MacBook Pro จอ Retina และเผยราคา Mac Pro
Phil Schiller เปลี่ยนมือขึ้นมาพูดถึงสินค้าตัวต่อไปนั่นคือสินค้าตระกูล Mac โดยมีการพูดถึง MacBook Air ก่อนที่เพิ่งจะออกรุ่นใหม่ไปเมื่อกลางปี ซึ่งได้รับคำวิจารณ์ในด้านดีมาก
ต่อมาก็พูดถึง MacBook Pro จอ Retina ที่มีการเปลี่ยนแปลงความหนาและน้ำหนักของเครื่องให้บางและเบาขึ้นเล็กน้อยสำหรับรุ่นจอ 13 นิ้ว พร้อมกับใช้ CPU Intel Haswell โดยทำให้มีระยะเวลาการใช้งานที่ยาวนานขึ้น
ส่วนรุ่น 15 นิ้วจอ Retina จะใช้ CPU รุ่นล่าสุด Crystalwell พร้อมชิปเซ็ตการ์ดจอ GeForce GT 750M ใช้งานได้ 8 ชั่วโมง
ราคาเริ่มต้นของทุกรุ่นตามภาพครับ
สำหรับ Apple Store ไทยเริ่มขายแล้วครับ โดยราคาเริ่มต้นที่ 43,900 บาท สามารถเข้าไปดูและสั่งได้เลยที่ Apple Store Online
Phil ยังคงอยู่โดยพูดถึงตัวต่อไปคือ Mac Pro ที่พูดถึงครั้งแรกในงาน WWDC 2013
โดยครั้งนี้จะพูดถึงรายละเอียดที่อยู่ภายในถังสีดำอย่างละเอียด
พร้อมกับการบอกเล่าถึงการนำ Mac Pro ไปให้คนที่ทำงานด้านต่างๆ ได้ลองใช้และให้พูดถึงกัน โดยมีทั้งช่างตัดต่อวิดิโอ, ช่างภาพ และผู้ทำงานด้านเพลง
ราคาที่ออกมาคือ 2,999 เหรียญสหรัฐฯ โดยจะเริ่มวางขายในช่วงเดือนธันวาคมนี้ พร้อมส่งท้ายด้วยวิดิโอเบื้องหลังกว่าจะมาเป็น Mac Pro
iLife และ iWork โฉมใหม่และฟรี!
Eddy Cue ขึ้นมาพูดถึงแอพพลิเคชันที่พัฒนาขึ้นโดย Apple เอง ซึ่งได้แก่ iLife และ iWork โดยพูดถึง iLife ก่อน
iLife มีการออกแบบใหม่หมดเพื่อให้รองรับกับ iOS 7 และบน Mac โดย iPhoto บน iOS นั้น Eddy บอกว่ามีความเร็วในการทำงานดีขึ้นอย่างมาก เพราะว่าแอพถูกออกแบบมาให้ใช้งานภายใต้ 64-bit นั่นเอง ส่วน iMovie ถูกออกแบบเพื่อ iOS ใหม่เช่นกัน ซึ่งเน้นการแก้ไขวิดิโอและการแชร์เป็นหลักเช่นเดียวกับบน Mac
iMovie มีคุณสมบัติใหม่ที่เรียกว่า iMovie Theater โดยเป็นที่รวมคลิปวิดิโอ, ตัวอย่างภาพยนตร์ ไว้ในที่เดียวเพื่อให้เปิดและใช้งานได้สะดวก พร้อมทั้งสามารถแชร์ขึ้นไปบน iCloud ได้
และ Garageband ที่เพิ่ม sound library ใหม่ให้ใช้งานบน Mac พร้อมกับมีการ Demo ที่มีการเปิดคุณสมบัติ Drummer คือการสร้างการตีกลองโดยซอฟท์แวร์ด้วยการจับจังหวะของเสียงเพลงแบบอัตโนมัติ และเรายังสามารถจะปรับการเล่นตามจังหวะได้จากหน้าจอได้อย่างง่ายดาย ซึ่งผมมองว่ามันเจ๋งและฉลาดมากๆ และช่วยคนทำเพลงได้อย่างดี โดยที่เราสามารถซื้อเสียงการเล่นเพิ่มเติมได้ผ่าน In-App Purchase
iLife ทั้ง 3 แอพ ฟรี ครับ ไม่ต้องเสียเงิน โดยจะได้เฉพาะคนที่ซื้อ Mac หรืออุปกรณ์ iOS ใหม่เท่านั้น ส่วนคนที่ซื้อไปแล้วก็สามารถกด update เวอร์ชันล่าสุดได้เลยแบบเจ็บใจนิดๆ
ต่อมา iWork ที่ประกอบไปด้วย Pages, Numbers และ Keynote ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงและกลายเป็นมาตรฐานไปบ้างแล้ว โดยเริ่มที่ Pages สามารถใช้งานได้แบบข้ามแพล็ตฟอร์มอย่างสมบูรณ์แบบ ไม่ว่าจะทำบน iOS, บนแอพ หรือบนหน้าเว็บ รวมทั้งมีการทำหน้าจอแบบใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อสอดคล้องกับ iOS และ OS X เช่นเดียวกับ Numbers ที่มีการพล็อตกราฟกันแบบ Real-Time ทันทีหลังจากที่กรอกตัวเลข
ส่วน Keynote มีการเพิ่มการเคลื่อนไหวในการเปลี่ยนหน้า โดยจะยึดหลัก Physical Engine ที่ทำให้วัตถุที่อยู่ในภาพสามารถเคลื่อนไหวเปลี่ยนหน้าได้สมจริงมากยิ่งขึ้น
แน่นอนครับว่า iWork นี้ก็แจกฟรีอีกเช่นกัน…เฉพาะผู้ที่ซื้อ iOS และ Mac ใหม่เท่านั้นครับ
iPad และ iPad mini รุ่นใหม่
Tim Cook กลับขึ้นมาบนเวทีพร้อมกับหัวข้อผลิตภัณฑ์สุดท้ายที่จะพูดถึงในงาน นั่นก็คือ iPad
แน่นอนว่าก่อนจะเข้าถึงผลิตภัณฑ์ใหม่ก็จะพูดถึงยอดขายและส่วนแบ่งของตลาดก่อน ปัจจุบันขายได้กว่า 170 ล้านเครื่อง และมีส่วนแบ่งในตลาดแท็บเล็ตอยู่ที่ 81% พร้อมกับมีแอพพลิเคชันรองรับการใช้งาน iPad แล้วถึง 475,000 แอพแล้ว
จากนั้นก็มีการเล่นวิดิโอแสดงการใช้งานต่างๆ บน iPad ซึ่งต้องยอมรับว่าการมาของ iPad ทำให้การทำงานและการใช้งานกับสิ่งอื่นๆ นั้นเปลี่ยนไปและช่วยอำนวยความสะดวกเพิ่มมากขึ้น (มีภาษาไทยด้วยในวิดิโอ)
Tim โยนให้ Phil ขึ้นมาแนะนำ iPad รุ่นใหม่อีกครั้ง ด้วยการเกริ่นนำว่า iPad หน้าจอ 9.7 นิ้วนั้นออกมา 4 รุ่นแล้ว และรุ่นล่าสุดนี้ได้ทำการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง ด้วยการเปลี่ยนชื่อใหม่โดยใช้ชื่อว่า “iPad Air”
ขนาดของ iPad Air นั้นบางและเบากว่ารุ่นก่อน (รุ่นเดิมหนัก 1.4 ปอนด์) ดังนั้นใครที่บ่นเรื่องความหนัก อาจจะต้องมาลองจับดูของจริงอีกทีว่าเบาเหมือนปุยนุ่นดัง Phil ว่าหรือเปล่า
ชิปประมวลผลที่ใช้งาน ใช้ A7 ซึ่งเป็นตัวเดียวกันกับที่ใช้ใน iPhone 5s แน่นอนว่าการประมวลผลยิ่งเร็วกว่าเดิม (ตามตัวเลขอ้างอิง) นอกจากนั้นยังใช้ Wi-Fi แบบใหม่คือ MIMO ซึ่งมีความเร็วมากกว่า 802.11n 2 เท่า
สเปคอื่นๆ โดยทั่วไปก็จะเหมือนเดิม ไม่ว่าจะเป็นกล้องหลัง ส่วนกล้องหน้ามีการปรับเปลี่ยนเล็กน้อยโดยใช้ระบบเพิ่มพิกเซลให้ใหญ่ขึ้นเหมือนกับ iPhone 5s มีไมโครโฟนคู่เพื่อที่จะสามารถบันทึกเสียงได้ครอบคลุมมากขึ้น และสีที่มีคือสี Space Grey และ Silver
การวางขายนั้นจะวางขาย 41 ประเทศทั่วโลกในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2556 โดยที่ยังไม่มีประเทศไทย (แต่ระบบเครื่องหิ้ว เราก็น่าจะได้เห็นในวันที่ 1 ด้วยเช่นกันที่ห้างดังกลางกรุง)
สุดท้ายคือ iPad mini ที่ออกมาตามความคาดหมายคือ iPad mini with Retina Display ด้วยขนาดหน้าจอที่เท่าเดิมคือ 7.9 นิ้ว ด้วยจำนวนพิกเซลเท่ากันกับที่ใช้บน iPad Air
แต่สิ่งที่พิเศษคือ iPad mini ตัวใหม่ใช้ A7 เหมือนกับ iPad Air CPU เร็วขึ้นกว่าเดิม 4 เท่า และใช้งานได้สูงสุด 10 ชั่วโมง
วางขายในเดือนพฤศจิกายนเช่นเดียวกับ iPad Air แต่ยังไม่มีวันวางที่แน่นอน ซึ่งเข้าใจว่าจะมีปัญหาการผลิตจอ Retina ที่ยังไม่สามารถทำออกมาได้เพียงพอกับการผลิตในตอนนี้ครับ
นอกจากนั้นยังมี Smart Cover และ Smart Case สีใหม่มารองรับ iPad ใหม่นี้ด้วย
สิ่งที่ไม่มีออกมาในรอบนี้
Apple TV ใหม่, iWatch แต่ทั้งสองอย่างนี้คงได้เห็นกันอย่างแน่นอนในปีหน้า
————————————————————————————-
และทั้งหมดก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นในงาน Apple Special Event เดือนตุลาคม ซึ่งจากการคาดการณ์ของสื่อต่างๆ ก็ไม่ค่อยผิดคาดเท่าไหร่นัก
ด้วยเนื้อหาการนำเสนอนั้นโดยส่วนตัวแล้วเหมือนกับการพูดซ้ำไปซ้ำมาตั้งแต่งาน WWDC 2013, Special Event เดือนกันยายน จนทำให้ดูน่าเบื่อและเริ่มจับทางได้ ซึ่งจุดนี้ควรจะได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน เพื่อไม่ให้งานในครั้งปีหน้าและถัดๆ ไปกลับมาอยู่ในวงจรแย่ๆ แบบนี้อีก
แล้วรอบนี้มีใครโดนตัวไหนบ้างไหมครับผม?
ที่มา: The Verge Live Blog