คนที่ตั้งตารอ iPhone ในสหรัฐอเมริกาจำนวนไม่น้อยต่างแสดงความดีใจที่ได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการว่า Verizon ผู้ให้บริการโครงข่ายโทรศัพท์มือถือรายใหญ่กำลังจะเริ่มจำหน่าย iPhone หลังจากที่ AT&T ได้รับสิทธิ์จำหน่ายแต่เพียงผู้เดียวตลอดมาตั้งแต่มีการเปิดตัว iPhone ในปี 2007 สิ่งที่น่าสนใจคือ AT&T จะทำอย่างไรเมื่อสิทธิพิเศษนั้นกำลังจะหายไป..
สำหรับ AT&T แล้ว iPhone ถือเป็นอาวุธหลักชิ้นหนึ่งตั้งแต่เริ่มมีการเปิดตัวร่วมกับ Apple Inc. เนื่องจาก iPhone ถือเป็นสินค้าที่สร้างรายได้ให้ AT&T อย่างเป็นกอบเป็นกำ โดยเฉพาะยอดกว่า 65% ของยอดขายสมารท์โฟนทั้งหมดในไตรมาสที่ผ่านมานั้นมาจาก iPhone
สิ่งหนึ่งที่ทำให้คนที่กำลังรอ iPhone ดีใจที่ Verizon ได้รับสิทธิ์ให้จำหน่ายก็คือการที่ AT&T เองมีโครงข่ายที่คุณภาพไม่ดีนัก โดยเฉพาะเรื่องของพื้นที่ครอบคลุมที่ผู้ใช้มักจะพบปัญหาใช้งานไม่ได้แม้จะอยู่ในพื้นที่หลักๆ เช่น San Francisco, Washinton, D.C., หรือแม้แต่ New York ก็ตาม ซึ่งทำให้ผู้ที่ต้องการการเชื่อมต่อเพื่อการทำงานมักจะพบปัญหาและเกิดอาการไม่พอใจอยู่เป็นระยะๆ
ในด้านของจำนวนสมาร์ทโฟนที่เครือข่ายต้องรองรับนั้น AT&T มีสมาร์ทโฟนที่ให้บริการอยู่ทั้งสิ้น 53 ล้านเครื่อง ในขณะที่ Verizon มีเพียง 21.4 ล้านเครื่อง นั่นหมายถึงว่า AT&T มีภาระในการรองรับความต้องการที่สูงกว่า Verizon มากกว่าเท่าตัว ซึ่งนั่นเป็นหนึ่งในต้นเหตุที่ทำให้ลูกค้าของ AT&T มักจะประเมินความพึงพอใจในการใช้บริการในทางที่ไม่ดีนัก อย่างไรก็ดี AT&T ก็มีหลายแนวทางที่จะแก้ไขปัญหาต่างๆเพื่อรองรับการต่อสู้ที่ดุเดือดขึ้น
อย่างแรกคือ การเปิดประตูรับสมาร์ทโฟนใหม่ๆเพิ่มมากขึ้น จากเดิมที่เน้นที่การใช้งานภาคธุรกิจและเทความสำคัญไปยัง iPhone และ BlackBerry ต่อไป AT&T อาจจะหันมาให้ความสำคัญกับระบบปฏิบัติการอย่าง Android มากขึ้น และแน่นอนว่าถ้า webOS และ Windows Phone 7 ดูมีอนาคตที่ดี AT&T ก็จะไม่พลาดที่จะจับกลุ่มเหล่านี้แน่นอน
อย่างที่สองคือการเทงบไปที่การปรับปรุงโครงข่าย ทั้งการขยาย capacity และการปรับปรุงความเร็วในการเชื่อมต่อโดยใช้เทคโนโลยี HSPA+ และ LTE ที่แม้จะไม่ทำให้ AT&T โดดเด่นแซงหน้าคู่แข่ง แต่ก็จะทำให้บริษัทอยู่ในระดับเดียวกับตลาดเป็นอย่างน้อย
ประการสุดท้ายคือการตั้งราคาค่าบริการที่ดีกว่าคู่แข่ง ในขณะที่ AT&T คิด $15 ต่อเดือนสำหรับข้อมูล 250 MB และ $25 สำหรับ 2 GB Verizon ตั้งราคาสูงกว่าที่ $15 ต่อเดือนสำหรับ 150 MB และ $30 สำหรับการใช้งานที่ไม่จำกัด ซึ่งราคานี้มีผลต่อการตัดสินใจของลูกค้าพอสมควรเนื่องจากลูกค้าทั่วไปใช้ไม่เกิน 1 GB อยู่แล้ว
อย่างไรก็ดี เนื่องจาก iPhone ที่จำหน่ายโดย AT&T เป็นระบบ GSM ในขณะที่เครื่องของ Verizon เป็นระบบ CDMA ทำให้ลูกค้าเดิมของ AT&T ไม่สามารถย้ายเครื่องข้ามเครือข่ายได้ทันทีจึงช่วยกันปัญหาลูกค้าหนีในระยะสั้นได้ แต่หาก Apple เปิดตัว iPhone รุ่นใหม่ๆพร้อมกันบน AT&T และ Verizon คงจะทำให้หลายๆคนเลือก Verizon แทนที่จะเป็น AT&T รายเดิม
ผลของการแข่งขันนี้น่าจะเห็นภาพชัดขึ้นหลังการเปิดตัว iPhone รุ่นใหม่ คงจะได้เห็นกันว่า AT&T จะตกอยู่ในสถานการณ์ใดและจะแก้เกมกลับอย่างไรเพื่อไม่ให้ลูกค้าหนีออกจากระบบของตน
ที่มา: PCworld