เป็นสีสันที่น่าสนใจมากในวงการโทรคมนาคมสหรัฐอเมริกา สำหรับ AT&T ที่ถูกตราหน้าว่าให้บริการ “fake 5G” หรือ 5G ปลอมที่ช้ากว่า “real 4G” หรือ 4G ของแท้ที่คู่แข่งให้บริการ วิกฤติแบรนด์ครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะงานวิจัยที่ทำให้ AT&T เสียเปรียบ ถือเป็นกรณีศึกษาที่แบรนด์ควรศึกษาและเผื่อใจไว้ก่อน
หากมองตามเนื้อผ้า AT&T ทดลองให้บริการ 5G เพราะต้องการกระตุ้นตลาดแม้ว่าโทรศัพท์ 5G จะยังไม่วางจำหน่ายในวงกว้าง AT&T จึงตัดสินใจโน้มน้าวชาวอเมริกันไปก่อนล่วงหน้าด้วยการโฆษณาเครือข่าย 4G ที่ระบุว่ามีการอัปเกรดเป็น “5G Evolution” หรือ “5G E” แต่ปัญหาคืองานวิจัยล่าสุดยืนยันว่า การอัปเกรดของ AT&T นั้นไม่ได้เร็วขึ้น หรือดีกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับบริการ 4G จาก T-Mobile และ Verizon แถมบางกรณียังพบว่าเครือข่ายของ AT&T ช้ากว่าเล็กน้อยด้วย
ผลการศึกษานี้ทำให้ T-Mobile และ Verizon ถูกมองว่าทำการตลาดได้ซื่อสัตย์มากกว่า เพราะเครือข่าย 4G ของทั้ง 2 บริษัทมีการปรับปรุงที่เห็นได้ชัด ต่างจากเครือข่ายของ AT&T
เบื้องต้น สำนัก Ars Technica รายงานว่าเครือข่าย 5G E ของ AT&T มีความเร็วเฉลี่ย 28.8 Mbps เมื่อทดสอบความเร็วโดยบริการกลาง OpenSignal ตัวเลขนี้ต่ำกว่า T-Mobile และ Verizon ซึ่งใช้เทคโนโลยี 4G LTE-Advanced แบบเดียวกับที่ AT&T ทำการตลาดว่าเป็น 5G โดยความเร็วเฉลี่ยบนเครือข่าย T-Mobile และ Verizon อยู่ที่ 29.4 Mbps และ 29.9 Mbps ตามลำดับ
อย่างไรก็ตาม AT&T ไม่ได้นั่งที่สุดท้ายของตาราง เพราะผู้ให้บริการอย่าง Sprint กลับมีอาการโคม่ากว่าทุกราย โดยการทดสอบบันทึกความเร็วเฉลี่ยได้ 20.4 Mbps เท่านั้น
AT&T แย้งทดสอบมีจุดอ่อน
แน่นอนว่า AT&T ไม่ได้นิ่งเงียบยอมรับข้อกล่าวหา แต่ออกมาให้เหตุผลว่าวิธีการทดสอบของ OpenSignal นั้นมีข้อบกพร่อง จุดนี้ AT&T ย้ำว่าการทดสอบนี้ดำเนินการทั่วประเทศสหรัฐอเมริกาผ่านโทรศัพท์ที่มีความสามารถทั่วไป การทดสอบนี้จึงไม่ยุติธรรมในมุมของ AT&T ที่ตัวเลขความเร็วจะเพิ่มแน่นอนหากทดสอบเฉพาะในพื้นที่ที่มีบริการ LTE-Advanced
อย่างไรก็ตาม Ars นั้นแย้งว่าเทคโนโลยี 5G E นั้นไม่ต่างจาก LTE-Advanced เพียงแต่มีชื่อเรียกที่แตกต่างกัน โดยการทดสอบพบว่าข้อได้เปรียบเพียงอย่างเดียวของ AT&T เมื่อเทียบกับผู้ให้บริการรายอื่นคือความครอบคลุมของ AT&T ที่กว้างกว่า ซึ่งสะท้อนให้เห็นผ่านการทดสอบของ OpenSignal ว่า AT&T มีพื้นที่ให้บริการ LTE-Advanced ที่ใหญ่กว่าผู้ให้บริการรายอื่น
บทสรุปจากการทดสอบของ OpenSignal จึงยืนยันว่าแม้ AT&T จะเปลี่ยนชื่อใหม่ แต่ก็ยังเป็นบริการที่มอบประสบการณ์ที่แทบไม่ต่างจากเดิม บทสรุปนี้จึงทำร้ายภาพลักษณ์ของ AT&T ไม่น้อย ซึ่งไม่เพียงโอเปอเรเตอร์ทั่วโลก ผู้บริโภคอย่างเราก็ควรศึกษาไว้ล่วงหน้าเพื่อให้เข้าใจได้ทั้ง 2 ฝ่าย
ที่มา: : Fast Company