จำนวนประชากรและการใช้จ่ายในจีนยังคงสวยงามเสมอและเป็นโอกาสสำคัญที่นักธุรกิจหรือแบรนด์ทุกคนอยากเข้าไปทำตลาดนี้ ซึ่งทางประเทศจีนเอง ก็ยินดีต้อนรับสินค้าจากไทยจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น ขนมขบเคี้ยว สินค้าเพื่อสุขภาพ สกินแคร์และเครื่องสำอางค์ ในขณะเดียวกัน การบอกต่อ หรือ กลยุทธ์ WOM (Word of Mouth) ก็ยังเป็นกลยุทธ์ที่คุ้มค่าที่สุด
คุณชฎากร ธนสุวรรณเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอวีจี ไทยแลนด์ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านดิจิตอลมาร์เก็ตติ้งในจีนระดับแนวหน้าของเอเชียในเครือ บริษัท วายดีเอ็ม ไทยแลนด์ จำกัด เล่าว่า สำหรับสถานการณ์ตลาดจีนปัจจุบัน ยอมรับว่าการทำตลาดในจีนตอนนี้เริ่มยากขึ้น เนื่องจากพ่อค้ารับหิ้วของจากไทยลดน้อยลงจากการออกกฎหมายใหม่ของประเทศจีนที่กำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจรับหิ้วสินค้าจากต่างประเทศจะต้องลงทะเบียนและเสียภาษี ประกอบกับค่าเงินบาทที่แข็งตัว และปัญหาสงครามการค้าจีน-สหรัฐ ที่ยังยืดเยื้ออยู่บ้าง แต่กระนั้นก็ไม่ถือเป็นอุปสรรคสำหรับผู้ประกอบการที่อยากจะเข้าไปสร้าง
คนจีนยังรักและเชื่อถือในคุณภาพของสินค้าไทย
สินค้าไทยที่ได้รับความนิยมในประเทศจีน 5 อันดับแรก ได้แก่ กลุ่มขนมขบเคี้ยว ส่วนใหญ่เป็นผลไม้แปรรูป เพราะเมืองไทยขึ้นชื่อเรื่องผลไม้อร่อย มีคุณภาพ เช่น มะม่วงอบแห้ง, ทุเรียนทอดกรอบ และ ตามมาด้วยประเภทขนมอบกรอบ ต่อมา คือผลิตภัณฑ์จากยางพารา, สกินแคร์, เครื่องสำอาง, ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับสุขภาพ เช่น ยาหม่อง กอเอี๊ยะ
เทรนด์สินค้าไทยที่กำลังได้รับความนิยมที่เห็นได้ชัด คือ
- เน้นเรื่องธรรมชาติ (Natural) กลุ่มเพื่อสุขภาพจะมีเยอะขึ้น เช่น นมถั่วเหลืองออร์แกนิค ผลไม้แปรรูปมีความหลากหลายมากขึ้นและไม่มีน้ำตาลเช่น แอปเปิ้ลอบแห้ง
- ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับสุขภาพ (Healthy) เพิ่มสรรพคุณให้มากขึ้น เช่น ที่นอนยางพาราสำหรับเด็ก ไม่มีสารก่อภูมิแพ้
- สินค้าไทยแบรนด์ใหญ่ๆ ของไทยสามารถเข้าไปเพิ่มช่องทางการจำหน่ายที่แพร่หลายมากขึ้น เช่น เมื่อก่อนมักจะวางขายในออนไลน์อย่างเดียว หรือ เฉพาะช่องทางที่ขายแต่สินค้าไทย มาปีนี้เริ่มดูอินเตอร์มากขึ้น ขยับไปวางขายในร้านสะดวกซื้อชื่อดังที่มีสาขามากมายทั่วโลก อยู่ในชั้นวางสินค้าเดียวกับสินค้าแบรนด์ดังระดับโลก ซึ่งช่วยทำให้เข้าถึงคนจีนได้มากขึ้น เช่น คอสเมติกส์, เครื่องดื่มเอนเนอร์จี้ดริงค์, น้ำมะพร้าว ฯลฯ
ในส่วนการทำการตลาดออนไลน์ที่จีนนั้น ต้องพิจารณาจาก 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่
- ต้องดูตัวเราเองว่าเราอยู่สเตทไหน เช่น เป็นแบรนด์ที่มีวางจำหน่ายทั่วเมืองไทย หรือมีเปิดแค่ 1-2 ชอปเท่านั้น เพราะจะได้วางงบการทำแบรนด์ที่เหมาะสมต่อไป
- ดูวัตถุประสงค์ที่ต้องการ เช่น ต้องการหาดิสทริบิวเตอร์ หรือหาลูกค้าที่ซื้อ และควรดูคู่แข่ง ดูมาร์เก็ตลีดเดอร์ ว่าเค้าทำอะไรไปบ้าง ทำการตลาดไปถึงไหนแล้ว
- ต้องรู้กลุ่มเป้าหมาย เนื่องจากในประเทศจีนมีจำนวนประชากร 1,400 ล้านคน ถ้าเราเลือกกลุ่มนิชเกินไป ค่าใช้จ่ายต่อหัวอาจจะสูงเพราะต้องทำมาร์เก็ตติ้งเจาะไปที่กลุ่มๆนั้น แต่ถ้าแมสไป อาจจะไม่มีประสิทธิภาพพอที่จะเจาะตลาดในกลุ่มที่เราต้องการได้ ฉะนั้นจึงต้องพิจารณาให้ดีเพราะส่งผลต่องบประมาณที่ตั้งไว้
“ถ้าถามถึงสูตรความสำเร็จที่จะไปเจาะตลาดประเทศจีน จากประสบการณ์มองว่า กลยุทธ์ Word of mount สำคัญที่สุด แต่ต้องบริหารจัดการให้ดี เพราะคอนโทรลยาก เนื่องจากตลาดจีนค่อนข้างซับซ้อน ถ้าทำพลาดมีประเด็นลบขึ้นมา ส่วนใหญ่ที่เห็น คือมักจะแก้ไขได้ไม่ทันท่วงที ซึ่งวิธีจัดการปัญหาในเรื่องนี้ สามารถแก้ได้ด้วยการทำ Social Listening อย่างสม่ำเสมอ มีทีมบริหารจัดการในเรื่อง Crisis management อย่างมืออาชีพ ก็จะสามารถช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดี เป็นกระบอกเสียงที่ดีให้กับแบรนด์ได้” คุณชฎากร กล่าว
ทางด้านธุรกิจ ปัจจุบัน เอวีจี ไทยแลนด์ ได้เพิ่มช่องทางทำการตลาดในจีน ผ่านกลุ่มคนจีนที่อยู่ในเมืองไทย เนื่องจากพบว่ามีคนจีนที่เข้ามาอยู่ในเมืองไทยมากถึง 3-4 แสนคน มีทั้งมาลงทุนธุรกิจในเมืองไทย ทำงาน เรียนหนังสือ และมาอยู่หลังเกษียณ
ซึ่งกลุ่มคนจีนดังกล่าวนี้น่าสนใจสำหรับลูกค้าที่มีธุรกิจประเภท ร้านอาหาร โรงพยาบาล เพราะนอกจากจะเป็นกลุ่มลูกค้าทาร์เก็ตที่มีศักยภาพสำหรับสินค้าแล้ว ยังเป็นกระบอกเสียงช่วยโปรโมทสินค้าไปถึงคนจีนที่ประเทศจีนได้ดีอีกด้วย
เนื่องจาก การทำการตลาดในจีนค่อนข้างใช้งบเยอะ แต่กลุ่มนี้สามารถเป็นทั้งลูกค้าและกระบอกเสียงที่ถือว่าคุ้มค่า และยังจะช่วยสร้างกลยุทธ์ WOM ที่ดี ให้กับสินค้าของไทยได้อีกด้วย