B-A-S-I-C หากอ่านแค่นี้อาจเข้าใจว่าหมายถึงการตลาดขั้นพื้นฐาน แต่ความเป็นจริงแล้ว มีแยกย่อยออกเป็นอีกหลายความหมาย ซึ่งกลยุทธ์นี้จะกลายมาเป็นแนวทางในการทำตลาดครั้งสำคัญของปี 2020 ที่ใกล้จะถึงนี้
เทคโนโลยีคือโอกาสหรือทำลาย
ในปี 2020 เรียกว่าเป็นปีแห่งความท้าทายครั้งใหญ่และเจ้าของธุรกิจเองก็ไม่ควรมองข้ามในเรื่องของเทคโนโลยีที่จะกลายมาเป็นส่วนสำคัญในการทำธุรกิจ
ด้วยความเปลี่ยนแปลงในแง่ของเทคโนโลยีทำให้ยุคนี้กลายเป็นยุคดิจิทัลอย่างสมบูรณ์แบบที่เจ้าของธุรกิจและนักการตลาดต้องเหนื่อยมากขึ้น เพราะหลายอย่างเปลี่ยนเร็วมากกว่าเดิม แต่ในขณะเดียวกันก็เรียกได้ว่าเป็นยุคแห่งโอกาสเพราะเราจะมีเครื่องมือในการเข้าถึงลูกค้ามากขึ้นและอำนวยความสะดวกมากกว่าเดิม
ดังนั้น ต้องรู้จักปรับตัวและนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยลดปัญหาเรื่องต้นทุนทั้งยังเป็นโอกาสให้ผู้ประกอบการรายย่อยยุคนี้ เข้าถึงผู้บริโภคได้หลากหลายและเจาะลึกมากขึ้น หรือแม้แต่แบรนด์ใหญ่เองก็ควรนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยลดต้นทุนทางการผลิตและนำเงินที่เหลือไปต่อยอดด้านอื่นๆ เรียกว่าเป็นจังหวะและขุมทรัพย์ของคนทำธุรกิจยุคใหม่อย่างแท้จริง
ทางด้านผู้บริโภคเอง ก็จะมีความหลากหลายในแง่ของพฤติกรรมและการซื้อสินค้ามากขึ้น ทำให้เจ้าของแบรนด์ไม่ควรทำการตลาดแบบทางตรงอย่างเดียว แต่ต้องศึกษาความต้องการของผู้บริโภคอย่างรอบด้าน (Customer Journey) เพราะแบรนด์ไม่มีทางทราบเลยว่าจังหวะไหนหรือคอนเทนต์แบบใดที่จะโดนใจ ในจังหวะที่เขากำลังต้องการ รววมทั้งช่องทางไหนที่ลูกค้าจะเข้าถึงและกดซื้อทันที
ซึ่งแบรนด์ที่จะอยู่รอดได้ คือแบรนด์ที่ใส่ใจรอบด้านของการใช้ชีวิตลูกค้าอย่างแท้จริง
B-A-S-I-C ที่ไม่ง่ายอย่างที่คิด
แม้เราจะเรียนรู้เรื่องเครื่องมือการตลาดมามากมาย แต่เมื่อถึงจุดที่ย้อนกลับมาสู่จุดเริ่มต้นอีกครั้งก็ไม่ง่ายแล้ว และนี่คือเทคนิคที่ไม่ได้ง่ายเหมือนชื่อเลย
B – Beyond Tools : การใช้เครื่องมือ (Tool) หรือ เทคโนโลยีที่เกิดขึ้นในยุค 5G ที่กำลังมาถึงนั้น ต้องไม่ลืมว่า “อุปกรณ์” ไม่มีความสำคัญเท่าการใช้งานจริง ดังนั้น นักการตลาดยุคใหม่ต้องวางกลยุทธ์ให้ชัดและมีเป้าหมายที่แน่นอน เพื่อนำไปปรับใช้กับอุปกรณ์ที่เหมาะสม เพราะเครื่องมือยุคนี้มีให้เลือกหลากหลาย หากลงทุนอุปกรณ์แบบไม่มีเป้าหมายก็จะเสียต้นทุนไปแบบเปล่าประโยชน์
A – Advocacy is the Key : การเป็นกระบอกเสียงด้วยตัวแบรนด์เอง มีทั้งข้อดีและข้อเสียพร้อมๆ กัน การสื่อสารแบบโฆษณาล้วนๆ ไม่มีข้อมูลที่มีประโยชน์ให้ลูกค้านำไปเป็นส่วนประกอบในการตัดสินใจและเชื่อมั่นในแบรนด์เลย ย่อมเป็นการทำงานที่เสียเปล่า ดังนั้น แบรนด์จึงควรสร้างความรักในแบรนด์ให้แก่กลุ่มลูกค้าหลัก เพื่อที่เขาจะเป็นกระบอกเสียงที่บอกต่อแก่ลูกค้ากลุ่มอื่นๆ และสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้กับสินค้าของเรา
S – Strategic Shift : รูปแบบของ 4P ยุคใหม่ไม่ใช่ความหมายแบบเดิมอีกต่อไปแล้ว แต่ 4P ยุคใหม่ คือ
- Product = เทคโนโลยีทำให้เกิดสินค้าใหม่
- Pricing = คนรุ่นใหม่จ่ายเมื่อใช้ ดังนั้น ต้องแสดงราคาให้ชัดเจน ถ้าลูกค้ารับได้เค้าจะกดจ่ายตามราคานั้นทันที เพราะลูกค้าจะไม่รอถามราคาให้วุ่นวายแล้ว
- Place = Marketplace อย่าง Shopee, LAZADA, JD คือช่องทางการขายใหม่ที่ทุกแบรนด์ต้องมี
- Promotion = ของถูกก็ดีแต่ลดมากไปจากราคาขายจริง ลูกค้าดูออกว่าไม่ดีจริง แต่ราคาแพงไปไม่จัดโปรโมชั่นเลยก็ทำให้ไม่กล้าซื้อไปใช้งาน
I – Integrated Platform : ดิจิทัลไม่ใช่แค่สื่ออีกต่อไป แต่เป็นชีวิตและความเปลี่ยนแปลงในโลกของผู้บริโภคไปแล้ว รวมทั้งพฤติกรรมของผู้บริโภคยุคใหม่ก็ไม่ใช่แบบเดิม นักการตลาดต้องเข้าใจ Customer journey อย่างแท้จริงและออกแบบช่องทางการขายให้สอดคล้องกับผู้บริโภคยุคนี้ให้มากที่สุด เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในทุกๆ จังหวะเวลา
C – Customer Experience : ยุคนี้จะแยกประสบการณ์ออกเป็น Online หรือ Offline ไม่ได้แล้ว แต่ต้องผนึกรวมกันเป็น All Experience หรือที่นักการตลาดชอบเรียกว่า Omni Channel ที่ครอบคลุมผู้บริโภคทุกด้านอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็น ช่องทางการจำหน่าย ประสบการณ์กับสินค้า พนักงานขาย คอนเทนต์และการสื่อสารทุกรูปแบบ เพราะการเป็นสินค้าหรือแบรนด์ที่อยู่ถูกที่ถูกเวลา เรียกว่าเป็นจังหวะชีวิตที่สำคัญของแบรนด์
การเป็นนักการตลาดยุคใหม่นี้ไม่ได้ง่ายเลยใช่ไหมคะ แต่หากเราเข้าใจ ปรับตัวและเรียนรู้ให้เร็ว แน่นอนว่าโอกาสทางการขายย่อมเกิดขึ้นได้ไม่ยากแน่นอน