หลังจากไป่ตู้ (Baidu) เว็บไซต์เสิร์ชเอนจิ้นอันดับ 1 ของจีน และเปิดให้บริการในไทยมาตั้งแต่ปี 2557 แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร เพราะในไทยนั้นความนิยมค้นหาผ่าน Google ยังคงมีมากกว่า แม้จะตีตลาดค้นหาไม่ได้ ก็ต้องเปลี่ยนแผนมาเป็นผู้ให้คำปรึกษาด้านการตลาดออนไลน์ ด้วยการนำจุดแข็งด้านเทคโนโลยีและความเชี่ยวชาญในการเข้าถึงลูกค้าชาวจีนที่มีการใช้งานมากที่สุด ก็น่าจะทำให้โอกาสใหม่นี้มีทิศทางที่น่าสนใจเลยทีเดียว
คุณพัชรพร สิริทรัพย์วงศ์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด และประชาสัมพันธ์ ไป่ตู้ แอคเซส ประเทศไทย เล่าให้ฟังว่า การพัฒนาบริการที่ปรึกษาด้านการโฆษณาออนไลน์ขึ้นมานั้น เป็นส่ิงที่ทีมงานในไทยคิดขึ้นมาเอง ไม่เกี่ยวข้องกับสำนักงานใหญ่ ซึ่งกว่าจะได้รับการอนุมัติให้เริ่มงานได้ก็ใช้เวลาและมั่นใจว่าเหมาะกับธุรกิจในไทย ตอบโจทย์ลูกค้าไทยได้เป็นอย่างดี ตั้งแต่เริ่มธุรกิจนี้ตั้งแต่ ธ.ค.2016 มาจนถึงตอนนี้ มีการเติบโตที่ดีและกำลังขยายบริการไปยัง ไต้หวัน ญี่ปุ่นและอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นประเทศที่มีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าไปเป็นอันดับต้นๆ
ส่ิงที่ Baidu Access มั่นใจว่าจะสามารถเดินหน้าธุรกิจนี้ได้อย่างต่อเนื่องเป็นเพราะเทรนด์การทำตลาด KOL (Key Opinion Leadership) มาแรง ซึ่งในไทยยังคงเป็นเรื่องใหม่ อีกทั้งเรื่องการดีลงานกับกลุ่ม Influencer หรือ Micro Influencer ในจีน ยังคงเป็นเรื่องยาก ทั้งในแง่ค่าใช้จ่าย ข้อตกลง ความนิยม การวัดผลและอีกหลายๆ เหตุผล ถ้าแบรนด์ไปทำเองอาจจะลำบาก ถ้าทำผ่านไป่ตู้แอคเซส จะมีผลสรุปที่ชัดเจนกว่า
ถึงแม้จะมีเอเจนซี่ของจีนที่เข้ามาให้บริการในแง่ที่ปรึกษาแบบเดียวกันนี้ในไทยมากขึ้น แต่ความเชี่ยวชาญและการมีข้อมูลในมือที่มากกว่าจะกลายเป็นจุดเด่นที่ลูกค้าเชื่อถือ และสนใจอยากทำงานร่วมกับเรามากขึ้น
“ด้วยความที่เราเป็นบริษัท Search Engine ที่ใหญ่มากในจีน ทำให้มีคลังข้อมูลเยอะมาก ว่าลูกค้ากำลังค้นหาอะไร ใช้เครื่องมือทำการตลาดแบบไหน หรือแม้แต่ Influencer คนไหนที่ตรงกับสินค้าของคุณมากที่สุด”
สิ่งที่เราจะบอกลูกค้า เช่น ควรทำกิจกรรมส่งเสริมการตลาดช่วงไหนดี ถึงจะปัง หรือจะใช้ Influencer คนไหนถึงจะดี เพราะจำนวนของ Influencer ในจีนนั้นมีเยอะมาก แค่ในระดับ Tier 1 ก็มีถึง 150 คนแล้ว ซึ่งการจะกรองว่าคนไหนเหมาะกับแบรนด์ ทำคอนเทนต์แบบไหนกับ Influencer คนไหนถึงจะได้ผล เพราะ Influencer แต่ละคน แม้จะมีผู้ติดตามเยอะ แต่ถ้าโฆษณาไปแล้วไม่ตรงกับ Target ไม่เกิดการสั่งซื้อ ก็ไม่มีความหมาย
อย่างเช่น ช่วงเทศกาลที่ไป่ตู้แนะนำให้แบรนด์ควรทำตลาดล่วงหน้า คือ ช่วง Golden Week ซึ่งในจีนจะมี 2 ครั้ง คือช่วงวันชาติของจีน ประมาณเดือนตุลาคน กับช่วงตรุษจีนประมาณ ม.ค.-ก.พ. เพราะจะเป็นช่วงเวลาที่ได้หยุดนานอย่างน้อย 1 สัปดาห์ โดยนักท่องเที่ยวชาวจีนจะอาศัยช่วงนี้เดินทางออกนอกประเทศ หากแบรนด์มีการเตรียมความพร้อมล่วงหน้าไว้ก่อน สัก 2-3 เดือนล่วงหน้า ทำให้คนจีนที่กำลังวางแผนท่องเที่ยวได้เตรียมตัวและค้นหาข้อมูลต่างๆ ประกอบด้วย เช่น หาห้องพัก เที่ยวบิน สถานที่ที่น่าสนใจและทริปที่พวกเขาสนใจ หากคุณมีแคมเปญในช่วงที่พวกเขานั้นเดินทางมาพอดี ก็จะยิ่งสร้างความสนใจ ให้อยากเดินทางไปใช้บริการและสร้างโอกาสทางรายได้ด้วย
“แต่ภาพรวมแล้วคุณสามารถโฆษณาไว้ได้ทั้งปีนะคะ ถ้ามีแคมเปญเล็กๆ ตลอดทั้งปี อย่างเช่น ส่วนลด 10% เมื่อมาใช้บริการหรือซื้อสินค้าครั้งแรก หรือเดินทางมาซื้อสินค้าและบริการจาก Code หรือ Influencer คนนี้จะได้รับของที่ระลึก เป็นต้น การทำตลาดแบบนี้ไม่ต้องกังวลว่าจะเจอนักท่องเที่ยวทุกคนรวมตัวกันไปถล่มร้านของคุณพร้อมกัน เพราะตั้งแต่เราทำตลาดมา ยังไม่เคยเจอปัญหาโดนลูกค้าชาวจีนไปถล่มร้าน แต่จะเป็นช่วงของจังหวะที่เจอและเขาไปใช้บริการพอดี ทำให้มีการเข้าไปใช้งานต่อเนื่อง”
ทั้งนี้ การเตรียมตัวเพื่อทำ KOL นั้น ก็ควรเตรียมงานล่วงหน้าไปก่อนทั้งหมดเพื่อให้เข้ากับจังหวะพอดี อย่างล่าสุดเพิ่งถ่ายทำที่อยุธยา เป็นการจับกระแสออเจ้าพอดี โดยเราคิดธีมหลายๆ อย่างในทริปนั้น หากเป็นคนจีนเดินทางมาพวกเขาอยากเห็นอะไรบ้าง อยากช้อปอะไรบ้าง ที่แตกต่างจากการเข้ามาช้อปปิ้งในกรุงเทพ และผสมผสานกับความเป็นแบรนด์ของลูกค้า ซึ่งต้องไม่ Tie-in สินค้ามากจนผู้ชมไม่อยากรับชมต่อแค่สอดแทรกเล็กน้อยก็พอ ซึ่งจะเป็นการเปิดมุมมองใหม่ๆ หากมีจุดเด่นอะไรก็รีบดึงออกมาให้มากที่สุด
“แม้ละครจะจบไปแล้ว แต่ยังมีคนจีนอีกมากที่อยากมาเที่ยวอยุธยาและอยากชิมหลายอย่างแบบที่ละครทำ ดังนั้น การที่เราเตรียมคอนเทนต์ให้พร้อมตั้งแต่ตอนนี้ พอถึงปลายปี นักท่องเที่ยวก็ตัดสินใจจองสินค้าและบริการเพื่อมาเที่ยวได้พอดี ทำให้คอนเทนต์วีดีโอนั้น ไม่ว่าจะถ่ายทำไว้นานแค่ไหนก็ยังมีคนเข้าไปชม ยิ่งถ้าทำโปรดักชั่นออกมาดียิ่งมีคนบอกต่อและอยากตามรอยมากขึ้นแน่นอน”
เวลาคนจีนที่มาเมืองไทย สิ่งที่เขาคาดหวังเป็นอันดับต้นๆ คือมาพักผ่อน หาที่กินที่เที่ยวโดนใจ อย่างเช่นร้านอาหาร ชาวจีนจะยอมจ่ายให้กับร้านอาหารที่อร่อยดี อย่างอาหารซีฟู้ดในจีน ราคาเริ่มต้นที่ 2,000 บาท เมื่อมาไทยกุ้งแม่นำ้อยุธยาเริ่มต้น 800 บาท ซึ่งพวกเขาประทับใจมากและยอมกินยอมจ่ายเต็มที่ซึ่งแน่นอนว่าตัวเลขการใช้จ่ายจาก Alipay เคยกล่าวไว้ว่า มีการใช้จ่ายอยู่ที่ 60,000 บาท/ทริป
ส่วนธุรกิจขนาด SME ที่ไม่ได้มีเม็ดเงินจำนวนมากในการทำตลาดแบบนี้ ก็เลือกสิ่งท่ีคนจะเข้าถึงได้มากที่สุดอย่าง KOL ไปเลย เพราะมันง่ายสื่อได้ตรงใจ ทำครั้งเดียวก็อยู่ได้นาน แต่อาจจะไม่ได้ในเรื่องของ Brand Image มากนัก ในขณะที่แบรนด์ใหญ่จะทำได้ทั้ง Banner, Website, Advertising, KOL ซึ่งสร้างความจดจำได้ดี เพราะสิ่งเหล่านี้จะตอกย้ำและกลมกลืน เมื่อคนจีนนึกถึงประเทศไทย ก็จะนึกถึงเป็นสิ่งแรกๆ อย่างเช่น ถ้านึกถึงเครื่องสำอางค์ก็ต้อง Mistine หรือ Snail White ถ้ากระเป๋าก็ต้อง Naraya สาหร่ายก็ต้องเถ้าแก่น้อย เป็นต้น
ต้องยอมรับว่าหลายสินค้าในไทยยังพยายามที่จะผลักดัน ในการสร้างแบรนด์ให้ตีตลาดจีนได้อย่างมีประสิทธิภาพและถ้าจะทำให้พวกเขาสนใจได้ก็ต้องทำสื่อโฆษณาอย่างต่อเนื่องและมีแผนในการทำงานตั้งแต่ต้นและจัดโปรโมชั่นให้ลูกค้า สิ่งเหล่านี้ควรทำต่อเนื่อง 3 เดือนในแบบผสมผสานได้ติดต่อกัน จะประสบความสำเร็จในตลาดจีนแน่นอน
ทางไป่ตู้ แอคเซส อยากให้ธุรกิจในไทยตื่นตัวกว่านี้ เพราะคนจีนมาไทยก็เพื่อกิน เที่ยว ช้อป อย่างสินค้าแบรนด์เนมหลายอย่างในไทยที่มาขยายสาขา แม้ราคาจะสูงกว่าฮ่องกง หรือสิงคโปร์ แต่ถ้าเทียบกับการบินไปซื้อที่ยุโรปมาไทยก็ยังคุ้มค่ากว่าอยู่ดี
นอกจากนี้ ในอนาคตทางไป่ตู้แอคเซส มีแผนจะดึงธุรกิจอื่นในเครือมาทำงานร่วมกัน เพื่อช่วยในการวิเคราะห์ตลาดและวิเคราะห์ลูกค้าให้ดีขึ้น เช่น AI ที่กำลังเป็นเทรนด์ของโลก ก็อาจจะนำมาช่วยในการวิเคราะห์หรือพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อให้ใช้งานได้ดีขึ้น เป็นต้น
เพราะตอนนี้นอกจากสำนักงานใหญ่ในจีนแล้ว ไป่ตู้ แอคเซส ก็กำลังจะกลายเป็นศูนย์กลางในการดูแลธุรกิจที่ไต้หวันและอินโดนีเซีย ในด้านการเป็นที่ปรึกษาด้านโฆษณาออนไลน์ ถือว่าเป็นต้นแบบในการทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จจนอาจจะกลายเป็นอีกหนึ่งรายได้เข้าบริษัท ส่วนภาพรวมในไทยตอนนี้ก็เติบโตได้ในระดับที่น่าพอใจ มีลูกค้าไม่น้อยกว่า 300 ราย ทั้งอุปโภคบริโภค แฟชั่นและคอนซูเมอร์โปรดักส์
ถือว่าเป็นการปรับตัวที่ดี สำหรับ ไป่ตู้ แอคเซส เพราะตลาดจีนกำลังมีความแข็งแรงมาก และการดึงจุดแข็งของธุรกิจจากการเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีในจีน มาเป็นที่ปรึกษาทางการตลาดให้แบรนด์ ถือว่าเป็นอีกหนึ่งโอกาสที่น่าจะช่วยล้างภาพเดิมๆ ให้ดีขึ้นก็เป็นได้