Site icon Thumbsup

Beautrium เปิดศึกแฟลกชิกสโตร์ความงามสำหรับวัยรุ่น

ท่ามกลางความร้อนระอุของตลาดความสวยความงาม ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้ประเมินตลาดเครื่องสำอางในประเทศไทย ยังมีแนวโน้มขยายตัวกันได้อย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2560 มีมูลค่าประมาณ 1.68 แสนล้านบาท โดยกลุ่ม Skincare ยังคงครองส่วนแบ่งตลาดสูงถึง 46.8% รองลงมาคือผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับผม ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดร่างกาย เครื่องสำอางและน้ำหอม เป็นต้น

เมื่อโอกาสไม่มา ก็ต้องไขว่คว้าเอง

ด้วยโอกาสที่เติบโตขึ้นทุกปีนั้น ทำให้ 2 พี่น้องโรจน์รัตนวลี ได้ตัดสินใจลงมาเล่นในธุรกิจนี้ โดยคนพี่อย่าง จิรวุฒิ โรจน์รัตนวลี ประธานกรรมการบริหาร บริษัท บิวเทรียม จำกัด เล่าว่า ธุรกิจนี้มีน้องชายเริ่มทำมาก่อน 4 ปี ส่วนตนเองชื่นชอบกิจกรรม Adventure ก็เลยเริ่มต้นศึกษาตลาดก่อนจะพบว่าธุรกิจด้านความสวยความงาม ยังครองกระแสได้เป็นอันดับ 1 และเติบโตเร็วมาก

แม้ว่าจะไม่มีเส้นสายในวงการความงามมาก่อน อีกทั้งธุรกิจครอบครัวก็เป็นโรงงานผลิตเหล็กเส้น แต่ก็ต้องมองหาโอกาสใหม่ๆ เพราะโลกเปลี่ยนแปลงเร็วมากและลูกค้าส่วนใหญ่ของ Beautrium ก็เป็นเด็กนักเรียนและ First Jobber ทำให้ต้องตามพฤติกรรมผู้บริโภคให้ทัน

การแข่งขันในธุรกิจความสวยความงามแข่งขันสูงมาก ทำให้เราต้องหาพาร์ทเนอร์ด้านสินค้าทั้งแบบท้องถิ่นและต่างประเทศมารวมไว้ในสาขาให้มากที่สุด เพื่อดึดดูดความสนใจของลูกค้าทุกกลุ่ม ขณะนี้มีสินค้ากว่า 1,000 แบรนด์ และจำนวนสินค้าและผลิตภัณฑ์มากถึง 5 หมื่นรายการ

 

“การปรับตัวให้เร็ว ถือว่าเป็นโอกาสของธุรกิจประเภทมัลติแบรนด์สโตร์ ที่มีการแข่งขันสูง การเพิ่มจำนวนสินค้า แบรนด์และพาร์ทเนอร์ ก็เป็นปัจจัยสำคัญให้ลูกค้าอยากเดินเข้ามาในร้าน รวมทั้งการมีกิจกรรมพิเศษร่วมกับสมาชิก VIP ย่อมเพิ่มโอกาสในการตัดสินใจซื้อสินค้าที่หน้าร้านของเรามากขึ้น”

 

ปัจจุบัน Beautrium มี 8 สาขา ช่องทางออนไลน์คือเว็บไซต์ thebeautrium.com และอีคอมเมิร์ซทั้ง Shopee, Lazada, JD Central เพราะเราต้องการที่จะเข้าถึงคนรุ่นใหม่ทุกช่องทาง แม้ว่าการร่วมมือกับพาร์ทเนอร์อย่าง The One ในการเพิ่มสิทธิประโยชน์ด้าน Royalty Program แต่ทุกความร่วมมือหรือกลยุทธ์นั้นต้องดูที่ความพอใจของลูกค้าเป็นหลัก

ความสวยยังฟุ่มเฟือยเสมอ

ทางด้านของ อติโรจน์ โรจน์รัตนวลี กรรมการบริหาร บริษัท บิวเทรี่ยม จำกัด เล่าเสริมว่า การเปิด Flagship Store ที่มีมูลค่าการลงทุนกว่า 100 ล้านบาทนั้น จะเพิ่มความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนที่กำลังมองสถานการณ์ต่างๆ ในประเทศไทย ทั้งในเรื่องของเศรษฐกิจ การเมืองและกำลังซื้อ เพราะความไม่แน่นอนภายในประเทศ ทำให้ไม่ค่อยเห็นการลงทุนใหญ่ๆ ในปีนี้

แม้ว่ารายได้ของบริษัทในปีที่ผ่านมา จะต่ำกว่าเป้าที่วางไว้ แต่เราก็ทำรายได้แตะ 500 ล้านบาท เชื่อว่าสิ้นปีนี้จะเพิ่มขึ้นอีก 10% ส่วนการขยายสาขาและเติมเต็มเรื่องของออนไลน์ในครั้งนี้ น่าจะช่วยเพิ่มยอดขายได้ทุกสาขา ถึงสินค้ากลุ่มความสวยความงามจะไม่ใช่ปัจจัยสี่ในชีวิตแต่สำหรับผู้หญิงเรื่องความสวยทุกคนพร้อมลงทุน ทำให้ไม่ว่าจะช่วงอายุที่เท่าไหร่ก็ต้องยอมควักเงินซื้อเครื่องสำอางค์สักชิ้น

นอกจากนี้ กลุ่มนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ทั้งจีน เกาหลี ญี่ปุ่น ตะวันออกกลางและสหรัฐอเมริกา ที่เดินทางมาท่องเที่ยวในไทย จะเป็นฐานลูกค้าสำคัญอีกกลุ่มหนึ่ง แต่เราก็ต้องเพิ่มกำลังซื้อจากกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ ในประเทศด้วย จากกลุ่มลูกค้าหลักของเราที่เป็นเด็กนักเรียน-นักศึกษาและ First Jobber ทำให้เราต้องร่วมมือกับพาร์ทเนอร์อย่าง The One ในการเพิ่มกลุ่มลูกค้าใหม่ที่มีช่วงอายุ 25 ปีขึ้นไป และเป็นกลุ่มคนที่มีกำลังซื้อสูง

 

“แม้ว่ายอดค่าใช้จ่ายต่อบิลของเราจะอยู่ที่ 800 บาท ค่าเฉลี่ยคนมาเดินในแต่ละสาขาอยู่ที่หลักแสนคนต่อเดือน การร่วมมือกับพาร์ทเนอร์รายใหญ่น่า จะเพิ่มโอกาสใช้จ่ายได้มากขึ้นแล้ว”

 

สำหรับการขยายสาขาในอนาคตนั้น ก็คงจะเลือกเมืองท่องเที่ยวก่อน อย่างเช่น ภูเก็ต เชียงใหม่ พัทยา รวมไปถึงการมองถึงสาขาในห้างสรรพสินค้าด้วย แต่การร่วมมือกับทาง The One ไม่ได้หมายความว่าเราจะมีสิทธิพิเศษใดๆ กับทางเครือ CPN เพราะเป็นคนละส่วนงานกัน

 

Royalty Program สำคัญสำหรับความงาม

หากเคยได้ยินวลีที่บอกว่า “ความสวยยอมกันไม่ได้” นั่นเป็นคำที่บอกว่าผู้หญิงทุกคนไม่ควรเพิกเฉยเรื่องความสวยความงาม เพียงแต่จะเน้นไปที่ครีมบำรุงผิว เครื่องสำอางค์ หรือยาบำรุงสุขภาพ สินค้าเหล่านี้ ล้วนแต่ช่วยให้ผู้หญิงสวยทั้งสิ้น แต่จะดีแค่ไหน ถ้าความสวยความงามมาพร้อมสิทธิพิเศษ

อติโรจน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า เรามีฐานข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้าในมือทั้งหมด โดยฐานสมาชิกของเรามีกว่าแสนราย ซึ่งนอกจากการมอบส่วนลด กิจกรรมพิเศษและแต้มสะสมแล้ว ก็พยายามหาสิทธิประโยชน์ที่ลูกค้าพึงพอใจเข้ามาเสริมเรื่อยๆ เพราะการแข่งขันในธุรกิจยุคนี้ อาจไม่ใช่เรื่องของตัวเงิน แต่เป็นความรักในแบรนด์ที่จะสร้างความยั่งยืนของธุรกิจได้ดีกว่า

แม้ว่า Beautrium จะไม่มีเครื่องสำอางค์ที่ผลิตภายใต้แบรนด์ตัวเอง แต่ถ้ามีสิทธิประโยชน์ หรือกิจกรรมที่ดึงดูดให้ตัดสินใจซื้อได้ก่อน ทั้งช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ ก็น่าจะเพิ่มโอกาสในการตัดสินใจซื้อได้ดีขึ้น อีกทั้งเรายังอยากเป็นตัวกลางให้กับทุกแบรนด์รายย่อยทั้งไทยและต่างประเทศที่ไม่ได้มีหน้าร้านเป็นของตนเอง นึกถึงก่อนเป็นอันดับแรกๆ เพราะแต่ละธุรกิจต้องสร้างความต่างเพื่อให้เกิดการจดจำ และเราก็มั่นใจในจุดเด่นของการเป็นศูนย์กลางความสวยความงามที่วัยรุ่นทุกคนต้องการเช่นกัน