แม้ว่า “ยอดชม” จะได้ชื่อว่ามีผลอย่างมากต่อประสิทธิภาพของวิดีโอโฆษณา แต่การศึกษาล่าสุดยกให้ “ยอด Like” คือส่วนที่มีผลต่อวิดีโอโฆษณามากที่สุดในนาทีนี้ เรียกว่าวิดีโอโฆษณาใดยิ่งมียอด Like มาก วิดีโอโฆษณานั้นก็จะทำยอดขายหรือได้ผลลัพท์ที่ต้องการมากตามไปด้วย
ความจริงข้อนี้ได้รับการพิสูจน์แล้ว เพราะงานวิจัยที่ Nielsen Catalina Solutions ศึกษาให้กับแบรนด์สินค้าของ Kellogg Co. ได้ข้อสรุปว่า “likeability” หรือความสามารถในการได้รับ Like นั้นให้ผลด้านบวกในเชิงยอดขายมากกว่า “viewability” หรือความสามารถในการรับชม
Nielsen Catalina Solutions โชว์ตัวเลขน่าทึ่งของ Kellogg Co. ในงานประชุมประจำปีของมูลนิธิงานวิจัยโฆษณา Advertising Research Foundation เมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมาเพื่อกระตุ้นให้อุตสาหกรรมวิดีโอโฆษณาตื่นตัวด้านความคิดสร้างสรรค์ หรือวิดีโอที่อัดแน่นด้วยความครีเอทีฟ
การสำรวจพบว่าเมื่อวิดีโอโฆษณาสามารถเข้าเกณฑ์ของ Media Rating Council (โฆษณาวิดีโอที่เนื้อหาเกินครึ่งถูกเปิดชมนานกว่า 2 นาที) ผลลัพท์ยอดขายจากโฆษณานี้ก็จะทำยอดขายได้มากขึ้นกว่ากลุ่มที่ไม่เข้าเกณฑ์ อย่างไรก็ตาม ระยะเวลาการชมวิดีโอที่นานกว่า 16 วินาที ก็จะให้ยอดขายที่ดีกว่าเช่นกัน
แต่ “winning metric” วิดีโอโฆษณาที่ทำยอดขายได้มากที่สุดกลับเป็นโฆษณาที่มี “likeability” มากที่สุด ทำให้เกิดเป็นข้อสรุปว่า likeability คือปัจจัยที่มีผลต่อยอดขายมากที่สุด โดยได้รับการจัดดัชนีที่ 172 จากค่ามาตรฐานที่ 100
งานสำรวจชิ้นนี้ยังครอบคลุม 15 ปัจจัยรอบด้านที่อาจมีผลต่อยอดขายของวิดีโอโฆษณา จุดที่น่าสนใจคือ 2 ปัจจัยที่ส่งผลต่อยอดขายของวิดีโอโฆษณาน้อยที่สุด ได้แก่ การเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้สำเร็จ และความถี่ในการเห็นโฆษณา เรียกว่าแม้จะส่งวิดีโอโฆษณาไปสู่สายตากลุ่มเป้าหมายเฉพาะทางได้ หรือจะโหมให้โฆษณาถูกเล่นได้ถี่ยิ่งขึ้น ก็ไม่มีส่วนช่วยให้วิดีโอโฆษณาชิ้นนั้นมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ยังมีผลการศึกษาที่น่าสนใจอีกมาก สามารถติดตามได้จากที่มา
ที่มา: MarketingDive