แม้ว่าโลกจะหมุนสู่ปี 2018 แล้ว แต่คัมภีร์ปี 2017 ยังใช้ได้แน่นอนสำหรับผู้ที่ต้องการสานต่องานเขียน blog post ในวันที่สถิติล่าสุดชี้ว่าโลกเรามีบล็อกมากกว่า 1.5 พันล้านบล็อกบนจักรวาลออนไลน์
infographic ที่เหมาะสำหรับพีอาร์และมืออาชีพด้านการตลาดซึ่วกำลังมองหากลยุทธ์เขียนบล็อกบริษัทในปีนี้ เป็นผลงานของบริษัท Red Website Design จุดเด่นของ infographic นี้คือการชูประเด็นสำคัญเรื่องแนวโน้มตลาดและการเขียน blog ซึ่งฉายภาพชัดให้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้จริง
ตัวอย่างเช่น กรณีผู้เขียนบล็อกบริษัทและบล็อกส่วนตัว โอกาสของคนกลุ่มนี้อาจอยู่ที่ WordPress เพราะแพลตฟอร์มนี้เป็นเจ้าตลาดที่ครองส่วนแบ่งกว่า 96% ของบล็อกทั่วโลก แต่ความจริงคือวันนี้โลกมีมากกว่า 115 แพลตฟอร์ม ทั้ง Blogger, Squarespace, Tumblr และ Medium ที่ให้โอกาสที่ดีได้ไม่แพ้กัน
สำหรับใครที่ยังสงสัยว่า วันนี้ชาวออนไลน์ยังอ่านบล็อกอยู่อีกหรือ? คำตอบคือ “yes” แน่นอนเพราะการสำรวจพบว่า 77% ของชาวออนไลน์นิยมอ่านบล็อกเป็นประจำ โดยรายงานชี้ว่า ส่วนใหญ่ชาวออนไลน์อ่านบล็อกเฉลี่ย 10 โพสต์ต่อวัน เฉพาะผู้ใช้ในสหรัฐฯ การสำรวจพบว่าส่วนใหญ่ใช้เวลาอ่านบล็อกมากกว่าอีเมลราว 3 เท่าทีเดียว
อย่างไรก็ตาม จุดอ่อนของบล็อกคืออ่านแล้วจบไว ทำให้การสำรวจพบว่าการอ่านบล็อกนั้นกินเวลาราว 23% ของชั่วโมงออนไลน์เฉลี่ยทั่วโลก ขณะที่ 55% บอกว่าปิดเพจบล็อกหลังจากเปิดเพียง 15 วินาทีเท่านั้น
ที่สำคัญคือ 70% ของกลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้บริโภคบอกว่าได้เรียนรู้เรื่องราวของบริษัทจากบทความบล็อกเหล่านี้มากกว่าโฆษณา ขณะที่ 92% ของบริษัทบอกว่าได้ลูกค้าจากบล็อกซึ่งพีอาร์และนักการตลาดสร้างไว้จนเปิดโอกาสให้ทำเงินได้จริง
กฎทองของการเขียนบล็อกให้ประสบความสำเร็จคือการเขียนหัวเรื่องที่ไม่ยาวมาก ขนาดกำลังดีคือ 6-13 คำ โดยหัวเรื่องที่มีความยาว 8-12 คำนั้นมักถูกส่งต่อบน Twitter ขณะที่บทความซึ่งหัวเรื่องยาว 12-14 คำนั้นถูกแชร์มากบน Facebook
โพสต์ที่ใส่รูปจะถูกเปิดอ่านมากขึ้น 94% ขณะเดียวกันผู้อ่านก็จะใช้เวลาอ่านมากกว่าหากบล็อกนั้นมี graphic แสดงด้วย โดยเฉลี่ยแล้วควรมีรูปคั่นทุก 350 คำในบทความ
จากสถิติ โพสต์ที่ได้รับความร้อนแรงมากที่สุดบน Google ล้วนยาวระหว่าง 2,032 ถึง 2,416 คำ โพสต์ที่ยาวกว่า 1,500 คำจะได้รับการ tweet และกดไลค์บน Facebook มากขึ้น เหล่านี้เป็นสถิติเบื้องต้นที่รวบรวมได้ในปี 2017 ที่ผ่านมา ซึ่งคาดว่ายังใช้ได้ดีในปีนี้ไม่ต่างกัน
ที่มา: PRDaily