เรื่องของ Smartcar อาจไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป หลัง BMW พัฒนาแอปพลิเคชั่น ConnectedDrive เพื่อเชื่อมต่อระหว่างผู้ขับกับรถ ผ่านเทคโนโลยีแพลตฟอร์ม Microsoft Azure เพื่อให้ระบบสื่อสารได้เร็วขึ้น สำหรับรถยนต์ที่จะออกจำหน่ายในเฟส 2 ที่ผลิตในประเทศไทยนี้เท่านั้น ส่วนรุ่นเดียวกันที่จำหน่ายไปก่อนหน้านี้ ไม่สามารถนำมาอัปเกรดซอฟต์แวร์เพื่อใช้เทคโนโลยีนี้ได้
เชื่อมต่อผ่านมือถือ
การพัฒนานวัตกรรมร่วมกับ Microsoft ครั้งนี้ นับว่า BMW เป็นอีกหนึ่งอุตสาหกรรมที่ดึงเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้งาน โดยก่อนหน้านี้ทาง Microsoft เองก็ได้มีความร่วมมือกับ แสนสิริ และ การบินไทยในการพัฒนาเทคโนโลยีผ่าน Microsoft Azure เพื่อช่วยเสริมประสบการณ์ให้ลูกค้าได้ดีขึ้นเช่นกัน
คริสเตียน วิดมานน์ ประธาน บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย กล่าวว่า บริการ BMW ConnectedDrive สำหรับรถยนต์ BMW iPerformance ผู้ใช้งานจะสามารถควบคุมระบบต่างๆ ของรถได้จากระยะไกล
อีกทั้งยังสามารถเข้าถึงข้อมูลที่สำคัญเกี่ยวกับรถได้อย่างง่ายดาย ผ่านแอปพลิเคชั่น BMW Connected บน iPhone โดยบริการใหม่สำหรับรถยนต์ BMW ปลั๊กอินไฮบริด ส่วนระบบปฏิบัติการ Android อดใจรออีกไม่นานเช่นกัน เพราะเราเข้าใจว่าประชากรชาวไทยใช้งานสมาร์ทโฟนบนระบบนี้กันเยอะ
ปัจจุบัน แอปพลิเคชั่น BMW Connected มีผู้ใช้งานมากกว่า 2.3 ล้านคน และมีรถยนต์ BMW กว่า 10 ล้านคันใน 45 ประเทศทั่วโลกที่มีการเชื่อมต่อด้วยฟีเจอร์ของระบบ BMW ConnectedDrive
การเปิดตัวคุณสมบัติใหม่สำหรับ BMW ConnectedDrive ในครั้งนี้ เป็นอีกก้าวหนึ่งของความก้าวหน้า ภายใต้วิสัยทัศน์ NUMBER ONE > NEXT ของ BMW Group ซึ่งมุ่งปูรากฐานอันแข็งแกร่งไปสู่อนาคตแห่งยนตรกรรมในโลกดิจิทัล
รุ่นที่ใช้งานได้
BMWi ถือเป็นหัวใจสำคัญของ BMW Group ในการสร้างสรรค์ระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าที่อยู่บนพื้นฐานแนวคิดของความยั่งยืน ซึ่งในขณะที่ความนิยมในยานยนต์ไฟฟ้า ได้เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดทั่วโลก และยังคงมีแนวโน้มที่จะเติบโตขึ้นอีกมากในอนาคต
ภายในปี พ.ศ. 2568 BMWi จะมีรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าทั้งหมด 25 รุ่น ประกอบไปด้วยรถยนต์ไฟฟ้าโดยสมบูรณ์ถึง 12 รุ่น ขณะที่แบรนด์และสายผลิตภัณฑ์อื่นๆ ภายใต้ความดูแลของ BMW Group ก็ยังมีเป้าหมายที่จะพัฒนานวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อเดินหน้าไปสู่ความสำเร็จต่อไป
บริการใหม่ดังกล่าว จาก BMW ConnectedDrive สำหรับรถยนต์ BMW iPerformance จะมาพร้อมกับรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดตั้งแต่เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2561 เป็นต้นไป โดยรุ่นที่รองรับประกอบด้วย BMW330e, BMW530e และBMW740Le ผู้สนใจสามารถค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.bmw.co.th/th/topics/fascination-bmw/connected-drive/overview.html
การเติบโตของ BMW
เมื่อปี 2560 ที่ผ่านมา BMW Group ประเทศไทย ได้ประกาศความสำเร็จครั้งประวัติศาสตร์ ด้วยอัตราการเติบโตของรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดที่สูงกว่าปีก่อนหน้ามากถึง 269% และในปีนี้ ตลาดรถยนต์ในเซกเมนต์ปลั๊กอินไฮบริดยังคงมีแนวโน้มการเติบโตที่แข็งแกร่งเช่นกัน ด้วยยอดการส่งมอบที่เพิ่มขึ้นถึง 44% ในช่วงเดือนมกราคมถึงเมษายน 2561 ขณะที่ BMW ประเทศไทย ก็ได้สร้างสถิติใหม่ด้วยยอดขายใน 4 เดือนแรกของปี สูงเป็นประวัติการณ์กว่า 3,511 คัน หรือเพิ่มขึ้น 20% จากปีที่แล้ว ส่วน BMW Motorrad (บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ประเทศไทย ในส่วนของรถจักรยานยนต์) ยังสามารถทุบสถิติยอดการส่งมอบรถจักรยานยนต์ที่ 690 คัน คิดเป็นอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นถึง 50% จากช่วงเดียวกันของปี 2560
นอกจากนี้ เพื่อรองรับการเติบโตของยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย และตอบรับแผนระยะยาวของสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน ที่ได้ตั้งเป้ายอดการใช้รถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดในประเทศไทยไว้ 1.2 ล้านคัน ภายในปี 2579 BMW Group ประเทศไทย ร่วมกับพันธมิตรในโครงการ ChargeNow จึงได้เดินหน้าขยายเครือข่ายการให้บริการสถานีอัดประจุไฟฟ้าสาธารณะในโครงการ ChargeNow อย่างต่อเนื่อง
หลังจากที่ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการไปเมื่อเดือนสิงหาคม 2560 ทีผ่านมา ซึ่งในปัจจุบันมีสถานีให้บริการทั้งหมด 14 หัวจ่ายทั่วประเทศไทย และเตรียมติดตั้งเพิ่มอีก 36 หัวจ่าย ภายในปี 2561 ด้วยเป้าหมายที่จะติดตั้งให้ครบทั้งหมด 50 หัวจ่ายในโครงการ ChargeNow ภายในปีนี้ โดยวางแผนการติดตั้งสถานีทั้งในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และสถานีในภูมิภาค โดยเฉพาะในจังหวัดหลักทั่วประเทศ ซึ่งเมื่อรวมกับสถานีอัดประจุไฟฟ้าอีก50 แห่ง ณ ศูนย์บริการของผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการของ BMW Group ประเทศไทย จะมีสถานีอัดประจุไฟฟ้ารวมทั้งหมดถึง 100 แห่ง ภายในสิ้นปี 2561 นี้