Bono หัวหน้าวง U2 นักกิจกรรมการกุศลตัวยงประกาศเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของคณะกรรมการบริหารบริษัท Zipline บริษัทผู้พัฒนาระบบโดรนส่งมอบอุปกรณ์ทางการแพทย์ให้กับประชาชนพื้นที่ห่างไกล ความเคลื่อนไหวครั้งนี้ต่อยอดสิ่งที่ซูเปอร์สตาร์ระดับโลกเคยทำมาตั้งแต่ 20 ปีที่แล้ว ถือเป็นก้าวใหม่ที่ยกระดับการทำการกุศลของ Bono ได้อย่างที่ตัวเขาเองยังทึ่งและประทับใจ
ย้อนกลับไปในปี 2016 หัวหน้าวง U2 อย่าง Bono ได้ร่วมก่อตั้ง The Rise Fund กองทุน VC มูลค่า 2 พันล้านเหรียญสหรัฐที่เน้นลงทุนกับสตาร์ทอัปที่ไม่เพียงมีรายได้สามารถเลี้ยงตัวเอง แต่ต้องสร้างการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและสิ่งแวดล้อมได้ชัดเจนด้วย ซึ่งล่าสุดช่วงกลางปี 2019 กองทุนใหญ่อย่าง The Rise Fund จึงตัดสินใจลงทุนใน Zipline เพื่อให้ Zipline มีทุนสำรองเพียงพอสำหรับขยายธุรกิจที่จะแก้ปัญหาสุขภาวะอนามัยให้กับชาวโลกได้
สำหรับ Zipline ซึ่งเพิ่งเปิดตัวเครือข่ายจัดส่งวัคซีนในประเทศกานา สถิติประจำเดือนเมษายน 2019 ชี้ว่า Zipline มีมูลค่าตลาดเกินกว่า 1,200 ล้านเหรียญสหรัฐไปแล้วเรียบร้อย
พื้นที่ห่างไกล และไม่ไกลอีกต่อไป
ในการให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว Fast Company หนุ่มใหญ่ Bono ภูมิใจกับความก้าวหน้าของ Zipline ที่สร้างการเปลี่ยนแปลงชัดเจนได้ในรวันดาและกานา โดยเฉพาะเทคโนโลยีโดรนที่ทำให้พื้นที่ห่างไกล ไม่ได้ห่างไกลเข้าถึงยากอีกต่อไป
Bono ยอมรับว่า Zipline ทำให้ปัญหาเรื่องระยะทางหมดไป ขณะเดียวกัน Zipline ยังทำให้ประชาชนกลายเป็นศูนย์กลางของโมเดลธุรกิจ Zipline ซึ่งตัวเขาคิดว่าเป็นสิ่งที่ The Rise Fund ให้ความสำคัญเป็นพิเศษ ตามแนวทางที่ว่า “ธุรกิจการค้าควรให้บริการประชาชน”
ด้วยฝีมือของ Zipline ในรวันดา โดรนอัตโนมัติสามารถบินจากศูนย์การจัดส่งอุปกรณ์การแพทย์ไปยังคลินิกระยะไกลที่ต้องการเลือดและเวชภัณฑ์อื่น โดย Bono ประทับใจมากที่ Zipline สามารถสร้างเครือข่ายโดรนจัดส่งสินค้าที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่กานา ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ Zipline สามารถทำการบิน 600 เที่ยวบินต่อวัน เพื่อให้บริการแก่คลินิก 2,000 แห่งและประชาชน 12 ล้านคน
ตัวตนที่สัมผัสได้ชัดจากคำให้สัมภาษณ์ของ Bono คืออารมณ์ขัน เพราะแม้ว่า Bono จะเอ่ยถามผู้ก่อตั้ง Zipline ว่ามีอายุเท่าไหร่เมื่อ 20 ปีก่อน แล้วได้รับคำตอบว่า “12 ขวบครับ” แต่ Bono ก็ยืนยันว่าเรื่องราวของเขากับ Zipline จริง ๆ แล้วเริ่มเมื่อ 20 ปีก่อน โดย Bono เล่าย้อนว่าเวลานั้น Bono เดินทางไปที่เมืองมาลาวี ในลิลองเว แล้วพบว่ามีผู้ติดเชื้อเอชไอวีจำนวนมากที่ไม่ได้รับยารักษา
Bono ย้ำว่าปัญหาในเวลานั้นคือการเข้าถึง แม้จะมียาแต่ก็ไม่สามารถส่งให้ผู้ป่วยได้ทันเวลา Bono ระบุว่ายังจำภาพบรรยากาศที่ผู้คนเข้าคิวรอตรวจแต่แพทย์แจ้งว่าไม่มียาที่ช่วยต้านไวรัสของพวกเขาได้ ซึ่ง Bono จำได้ดีว่าทุกคนยอมรับชะตากรรมที่ผิดปกตินี้แบบไม่มีอารมณ์โกรธใดๆ
Bono เรียกสิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนั้นว่าเป็นการยอมรับที่แปลกประหลาด ซึ่งตัวเขาจำได้ว่ารู้สึกคลื่นไส้ จากนั้น Bono ก็จำความโกรธของตัวเองในเวลานั้น แล้วก็ใช้มันเป็นสิ่งกระตุ้นให้ Bono ลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของผู้ด้อยโอกาส
“มันเป็นช่วงเวลาที่ผมเห็นซ้ำแล้วซ้ำอีกในหลายทวีปทั่วโลก” Bono กล่าว สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นแรงบันดาลใจให้ Bono มีแนวคิดว่า “สถานที่ที่เราอยู่ ไม่ควรมีสิทธิ์ตัดสินใจว่าเราควรจะมีชีวิตอยู่หรือไม่”
อิทธิพล Bono ช่วย Zipline ได้
ความสำคัญของภารกิจการกุศลของ Bono ในเชิงธุรกิจ คือ Zipline จะสามารถใช้อิทธิพลของ Bono ในการเข้าถึงรัฐบาลหลายประเทศ ประเด็นนี้ Keller Rinaudo ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Zipline อธิบายว่าการมีส่วนร่วมกับ Bono จะเพิ่ม “soft power” ในการเข้าถึงภาครัฐ เพราะแม้การดำเนินงานของ Zipline จะสามารถช่วยชีวิตประชาชนได้ แต่ยังต้องได้รับการสนับสนุนและการอนุมัติที่สำคัญเพื่อใช้พื้นที่
CEO Rinaudo ย้ำว่าวันนี้การสร้างระบบโลจิสติกส์ที่ให้บริการมนุษย์ทุกคนอย่างเท่าเทียมกันนั้นยังต้องการความร่วมมือจากผู้คนจำนวนมากเพื่อเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานในอดีต ขณะเดียวกันก็จะต้องมีคนที่เชื่อมั่นในวิสัยทัศน์ ซึ่งนอกเหนือจากสิ่งที่บริษัททำและแก้ไขได้ ก็จะต้องร่วมมือกับรัฐบาลเสมอ
“เหตุผลที่เราตื่นเต้นมากที่ได้เข้าร่วมกับ Bono” ผู้บริหาร Zipline กล่าวทิ้งท้าย “เพราะเราทั้ง 2 ฝ่ายจะทำงานร่วมกันเพื่อสร้างความยืดหยุ่นในกระบวนการยุติธรรม และจะช่วยให้โลกเปลี่ยนผ่านระบบไปสู่งานบริการประชาชนที่เท่าเทียมกัน”
ที่มา: : FastCompany