หลังจากทีม Claim Di คว้ารางวัล Digital Winner จากเวที dtac accelerate ได้ไปแข่งในเวทีโลกกับเทเลนอร์อีก 13 ประเทศ วันนี้เรามีบทสัมภาษณ์พิเศษของ CEO Claim Di หรือพี่แจ็ค กิตตินันท์ อนุพันธ์ มาให้อ่านกันเพื่อเป็นการอุ่นเครื่องก่อนที่จะเดินทางไปแข่งที่ประเทศนอร์เวย์ในเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้
Thumbsup : ประสบการณ์จาก Bootcamp ของ dtac Accelerate และความรู้สึกหลังจากได้รับรางวัล Digital Winner เป็นตัวแทน Startup ไทยไปแข่งที่นอร์เวย์
กิตตินันท์ : ก็คงต้องเหมือนรับรางวัลตุ๊กตาทองนะครับ ก่อนอื่นขอขอบคุณ dtac และคุณกระทิงที่ให้โอกาสเราได้พิสูจน์ idea ใหม่ที่เราใช้เวลา 2 ปีทำ research ร่วมกับ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ผมว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับผมมันเหมือนทฤษฏี startups ที่เรียนเลยครับ มีหลายคนเขียน infographic ไว้ คือ มีidea ทดสอบ idea เอาโรงการมาเสนอ angel investor เขาให้เงินมาทำ product แล้วไปหา Pre Seed เอาเงินมา promote apps ของเรา แล้วไปหา co-founder ที่มีประสบการณ์ที่เราขาดมาร่วมทีม แล้วไปสู้ต่อ เพื่อให้ได้ series A
ใน Bootcamp เราได้เรียนรู้วิธีการทำ startup ไปด้วย และสร้าง product จริงไปด้วย ใน 3 เดือน เราสร้าง product เสร็จจริง และได้ลูกค้าเข้ามาในระบบ 20% market share และได้ 500 startups ร่วมลงทุน ความรู้สึกเหมือนมันเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่น่าจะเป็นไปได้เลยครับ
Thumbsup : มีการเตรียมตัวอย่างไรบ้าง สำหรับการเป็นตัวแทน Startup ไทยไปแข่งในเวทีโลก
กิตตินันท์ : พอประกาศผลว่าเราได้รับรางวัล Digital Winner ลงมาจากเวที เดินไปหาคุณกระทิง จะขอบคุณงามๆ สักหน่อย พี่แกใส่ผมก่อนเลย “พรุ่งนี้เริ่มซ้อมใหม่เลยนะ มีเวลาอีก 2 เดือนเท่านั้น ต้อง pitch กับฝรั่ง คราวนี้ 800 คนนะรู้ไหม รีบเลย พรุ่งนี้เลย” คุณนึกภาพออกไหมครับ ความดีใจที่ได้รางวัลหายวับไปทันที เกิดเป็นความวิตกกังวล เหมือนกับตอนเข้า dtac accelerate เมื่อ 3 เดือนก่อน แต่ตอนนี้โหดกว่า หินกว่าสุดๆ 21-22 ตุลาคมนี้ต้องไปนอร์เวย์ ซึ่งมันไม่ใช่แค่ pitching นะครับ มันต้องมี traction ด้วย
รางวัล Digital Winner ก็เหมือนเล่นเกมผ่านด่านแรกเท่านั้น แต่เกมเนี่ยถ้าเราแพ้เราเริ่มใหม่ได้ startup ถ้าเราล้มเหลว เราก็เริ่มใหม่ได้ แต่ถ้าเราทำพลาดกับ VC ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม เกิดใหม่ยังไม่สามารถแก้ตัวได้เลย
สรุปคือ ซ้อมเป็น 10 เท่าตัว และ ทำ traction ให้ได้ 2 เท่าตัว ภายใน 2 เดือน แล้วก็อย่าลืมว่ายังต้องหาเงินเดือนจ่ายพนักงานเหมือนเดิมด้วยนะครับ
Thumbsup : ความคาดหวังของ Claim Di ในเวทีระดับโลกคืออะไรบ้าง
กิตตินันท์ : ความหวังที่ 1 Claim Di ได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่า สามารถเข้าตลาดโลกได้ และจาก research ที่เราทำร่วมกับจุฬาฯ ยังไม่มีใครเคยทำ business model และ application แบบนี้มาก่อนจริงๆ ความหวังเล็กๆ ของเราเริ่มเติบโตด้วยความรวดเร็วในประเทศแล้ว เรากำลังจะเอาเมล็ดพันธุ์ไปแจกจ่ายในประเทศที่ Telenor มีอยู่ 13 ประเทศทั่วโลก เพื่อยืนยัน innovation ของเรา และขอให้ Telenor เห็นประโยชน์ของ Claim Di แล้วตัดสินใจนำไปimplement ใน 13 ประเทศ แล้วเราก็จะได้เห็นต้นกล้า Claim Di จากประเทศไทยต้นเล็กๆ ได้เริ่มเติบโตขึ้นนอกบ้านของเรา
ความหวังที่ 2 การตอบรับจาก VC รายใหญ่ที่ถือ Series A ไว้ในมือ ให้โอกาสเรา ในรอบ Series A เพื่อซื้อปุ๋ยไปปลูกต้นกล้าใน 13 ประเทศของ Telenor ให้เติบโตโดยเร็ว เพื่อไปประเทศอื่นต่อให้ได้
Thumbsup : อนาคตของ Claim Di และ anywhere 2 go มีแผนจะพัฒนาในด้านใดบ้างต่อจากนี้ นอกจากในเรื่องของการเป็นพันธมิตรกับบริษัทประกันภัยแล้ว
กิตตินันท์ : ตอนนี้คงเดินตามแผนที่เราวางไว้ครับ คือพยายามเป็น partner กับบริษัทประกันภัยให้มากที่สุดในประเทศก่อน เพื่อเติบโตเป็น claim clearing house ของงาน Motor Insurance หรือ ประกันภัยรถยนต์ให้ได้ จากนั้นเราจะต่อยอดไปยังประกันภัยประเภทอื่น Non Motor Insurance และต่อไปคือประกันชีวิต Life Insurance
ในส่วนของ Anywhere2Go ยังมี product อีกหลายตัวมากครับ @2er ของเรามี market share 20% ของ healthcare ในประเทศ มี @2sales @2field @2treat @2Queue @2cal ilertu Shoplomo และอีกเพียบในตะกร้า แต่ไม่มีปัญญาหยิบมาทำครับ น้องๆ คนไหนอยากทำมาคุยกันได้ครับ แบ่งเอา idea พี่ไปทำร่วมกัน สนใจไหมครับ ติดต่อมาเลยนะครับ
Thumbsup : อยากฝากคำแนะนำถึง Startup คนอื่นๆ อย่างไรบ้าง
กิตตินันท์ : อยากบอกน้องๆ startup ว่า ผมพิสูจน์ด้วยตัวเองแล้วว่า 3 เดือนในชีวิต startup ทำให้เป็นไปตามทฤษฏี startup มันทำได้จริงๆ แต่ก่อนที่จะมาถึงวันแรกของ 3 เดือนสุดโหดนี้นั่นแหละคือสิ่งที่ทุกคนต้องทำเอง ไม่มีทฤษฏี ไม่มี mentor ไมมี advisor ไม่มี consult ไม่มี angel ไม่มีอภินิหาร มันเรียกว่า “ประสบการณ์”
ผมเองเป็นพนักงานบริษัทมา 12 ปี เปิดบริษัทของตัวเองมา 14 ปี เพื่อทำตามความฝันคือ mobility enterprise solutions ทั้งที่ไม่ได้เรียนด้าน IT เขียนโปรแกรมไม่เป็น ตั้งแต่เริ่มทำธุรกิจของตัวเองมาก็เจอเหตุการณ์ที่สุขสุดๆ และแย่สุดๆ โดนโกง โดนปฏิเสธ ตัดสินใจแข่ง SW เพื่อให้ทุกคนรู้จักบริษัทของตัวเองครั้งแรกก็แพ้แบบตกรอบแรก แล้วก็แพ้ แล้วก็แพ้ แล้วก็แพ้ จนกระทั่งเริ่มชนะบ้างแพ้บ้าง มาถึงทุกวันนี้
เล่ามายาวขนาดนี้แค่อยากบอกว่า สิ่งเหล่านี้ไม่มี mentor ที่ไหนหรอกครับสอนเรื่องแบบนี้ได้ ตัวเรานั่นแหละที่สอนตัวเราเอง ขอเพียงไม่หยุดพยายามพิชิตความฝันเท่านั้นแหละครับ
อีกอย่างที่ประสบการณ์สอนผม และผมอยากสอนต่อคือประโยคนี้ครับ “ความสำเร็จ ทำคนเดียวไม่สำเร็จ” สุดท้าย ผมชอบคำนิยามที่คุณกระทิงกับ Khailee พูดถึงผม ในวันที่ให้สัมภาษณ์กับสื่อเรื่อง 500 Startup ร่วมลงทุนกับเรา 2 คนนี้พูดเหมือนกันแต่คนละภาษา ขอสรุปด้วยภาษาไทยแล้วกันนะครับว่า “กิตตินันท์ ทำตัวเป็นน้ำครึ่งแก้วเสมอ”
———————————————————————-
ขออนุญาตสรุปจากบทสัมภาษณ์นะคะว่า ไม่ว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลวก็อย่าหยุดเรียนรู้ ขอยืม Quote ยอดฮิตของ Steve Jobs มาใช้หน่อยแล้วกัน “Stay Hungry Stay Foolish” ขอเป็นกำลังใจให้ Startup ทุกๆ คนที่อยากสร้างความเปลี่ยนแปลงดีๆ ให้เกิดขึ้น และขอเอาใจช่วย Claim Di ในเวทีโลก ซึ่ง Thumbsup จะติดตามความคืบหน้ามารายงานให้ทราบเป็นระยะนะคะ ^^