Sheryl Sandberg ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการของ Facebook ได้ออกมาให้ข้อมูลเมื่อเร็วๆ นี้ว่า Coke ยักษ์ใหญ่แห่งโลกเครื่องดื่มสามารถสร้างผลตอบแทนจากเงินลงทุน (Return on Investment : ROI) จากการโฆษณาบน Facebook ได้สูงกว่าบนโทรทัศน์แล้ว
การออกมาให้ข้อมูลดังกล่าวกับสาธารณะถือว่าเป็นการประกาศที่กล้าหาญและเรียกความสนใจได้ไม่น้อย เนื่องจากโทรทัศน์ยังถือว่าเป็นสื่อที่มีอิทธิพลโดยรวมสูงที่สุดอยู่ไม่ว่าจะในตลาดใดก็ตาม แต่การออกมาให้ข้อมูลของ Sheryl ก็ไม่ใช่การพูดสร้างชื่อให้ Facebook อยู่ฝ่ายเดียวเท่านั้น เมื่อ Coke เองก็ออกมายืนยันว่าข้อมูลดังกล่าวนั้นเป็นจริง แต่ในบางกรณีเท่านั้น
แคมเปญที่ถือว่าเป็นตัวยืนยันความสำเร็จของ Facebook ที่ช่วยให้ Coke ได้ผลตอบแทนอย่างสูงนั้น คือการแนะนำหมีขั้วโลกที่ Coke เคยใช้ในโฆษณาก่อนหน้านี้อีกครั้งในไตรมาสแรกของปี 2013 ซึ่งในครั้งนี้ Coke ได้ให้ Ridley Scott ผู้กำกับภาพยนตร์ระดังรางวัลออสการ์ให้มาผลิตภาพยนตร์ความยาว 6 นาที ก่อนที่จะตัดทอนลงให้เป็นโฆษณา 30 วินาทีหลายชิ้นแล้วเผยแพร่ทางโทรทัศน์ช่วง prime time หรือช่วงที่มีคนดูมากที่สุด นอกจากนั้น Coke ยังใช้โฆษณาบน Facebook เพื่อลิงค์ไปยังวิดีโอดังกล่าวเป็นเวลา 3 วันและรวมถึงให้มีการแสดงผลเมื่อคนเลิกใช้งานด้วย (ใครอยากดูภาพยนตร์ตัวเต็ม คลิกดูได้ที่นี่)
ผลลัพธ์ที่ได้จากแคมเปญนี้ที่ Facebook เป็นคนประกาศและ Coke เป็นผู้ยืนยันก็คือ Kantar Worldpanel ได้เปิดเผยว่าทุกๆ 1 ยูโร (ราว 45 บาท) ที่ Facebook ลงทุนไปกับการโฆษณาบน Facebook นั้น บริษัทจะได้รายได้กลับคืนมาเพิ่มขึ้นอีก 2.74 ยูโร (ราว 123 บาท) ซึ่งถือว่าสูงกว่าอัตราผลตอบแทนที่ได้จากช่องทางโทรทัศน์ถึง 3.6 เท่า และหากดูภาพรวมแล้ว สัดส่วนรายได้ที่เพิ่มขึ้น 27% มาจาก Facebook ในขณะที่ต้นทุนคิดเป็นสัดส่วนแค่ 2% ของก้อนรวมเท่านั้น
การวัดผลดังกล่าวนี้ดูจากกลุ่มคน 10,000 คน (ซึ่งเป็นกลุ่มย่อยของกลุ่มสำรวจทั้งหมด 20,000 คน) ที่อยู่ในฝรั่งเศสที่มีการซื้อสินค้าอุปโภคเป็นประจำ โดย 8,000 จากกลุ่มดังกล่าวเป็นคนที่ใช้งานเว็บไซต์ต่างๆ เป็นประจำ
อย่างไรก็ดี ในฝั่งของ Coke เองก็ยังคงจะใช้งานช่องทางโทรทัศน์ต่อไปควบคู่ไปกับ Facebook เนื่องจากทั้ง 2 ช่องทางรวมกันสามารถสร้างผลตอบรับที่ดีคิดเป็นสัดส่วนถึง 35% ของผลลัพธ์ทั้งหมด แต่บริษัทก็ได้เห็นถึงความสำคัญของ Facebook และการเป็นช่องทางส่งเสริมการจำหน่ายที่มีประสิทธิภาพมาก
หากนักการตลาดคนไหนมีข้อมูลรูปแบบเดียวกันนี้ของบ้านเรา ลองเอามาแบ่งปันกันดีบ้างก็ดีนะครับ 🙂
ที่มา: AdvertisingAge