ถึงทุกคนจะเห็นคอนเทนต์บนโลกโซเชียลมากมาย กระจัดกระจายจนไม่รู้จะเสพอะไร แต่รู้มั้ยว่าการจะสร้างคอนเทนต์ขึ้นมา ผ่านกระบวนการคิดหลายขั้นตอนมาก เพื่อให้คอนเทนต์ออกมามียอดที่ดีและส่งผลดีต่อแบรนด์มากที่สุด ซึ่งโครงสร้างในการออกแบบคอนเทนต์ขึ้นอยู่กับแต่ละแพลตฟอร์ม วันนี้เราจะมาสอนเรื่องการวาง Pillar ให้เหมาะสมกับแต่ละแบรนด์กันค่ะ
จุดเด่นของแบรนด์เราคืออะไร
เรื่องแรกที่ต้องคิดก่อนคือ แบรนด์เรามีจุดเด่นอะไรที่ลูกค้าจดจำบ้าง เช่น แบรนด์เรามีมาสคอตมาในลุคชอบชวนเที่ยว ฉะนั้น ควรมีคอนเทนต์ที่เล่าเรื่องของตัวมาสคอตนี้ หรือ ถ้าแบรนด์เด่นเรื่องอาหารก็ต้องมีโปรโมทอาหารเด่นๆ ด้วย
อย่างกรณีของ Bar-B-Q Plaza จะพบว่าคอนเทนต์ส่วนใหญ่ จะมีเจ้าก้อนอยู่ทุกรูป เพราะเจ้าก้อนเป็นตัวพรีเซ็นต์แบรนด์ได้ดีที่สุด ทำให้ไม่ว่าจะโพสต์แบบไหนก็ต้องมีเจ้าก้อนไปร่วมแจมด้วยเสมอ
อยากเล่าอะไร ให้ใครฟัง หรือฟังแล้วได้อะไร
การสื่อสารไม่ใช่แค่พูดว่าเราอยากบอกอะไร แต่ให้คิดต่อว่าสิ่งที่เราอยากบอก ใครฟัง และเค้าได้อะไร สนใจมั้ย แล้วถ้าสนใจเค้าจะแอคชั่นยังไง จะสนใจสินค้าเราเพิ่มขึ้นมั้ย หรือคนที่สนใจเราอยู่แล้วจะติดตามเราต่อหรือเปล่า กระบวนการทั้งหมดนี้จะต้องคิดเสมอ
ต้องบอกก่อนว่าไอเดียคือสิ่งที่ทุกคนคิดได้ แต่ความยากคือจะนำเสนอยังไงมากกว่า เพราะการสื่อสารในที่นี้รวมถึง ข้อความ ภาพ ช่วงเวลา แค่มีไอเดียแต่คนรันไม่มีประสิทธิภาพพอ ทุกอย่างก็จบ
Content Pillar
โดยส่วนใหญ่แล้ว Core ของโพสต์ไม่ได้มีประเภทอะไรมากนัก แต่สำคัญสำหรับนักการตลาด เพราะบางบริษัทจะต้องมีนักการตลาดวางแผนของคอนเทนต์อีกที ทำให้ต้องเห็นภาพรวมด้วย ซึ่งส่วนใหญ่ Content Pillar แบ่งออกได้ประมาณ 4 แบบคือ
- Content Promotion : บอกโปรโมชั่นของร้านค้า ไม่ว่าจะเป็นลดแลกแจกแถมยังไงก็ตามแต่
- Content Lifestyle : เป็นได้ทั้งโพสต์ภาพสวยๆ Quoteเจ๋งๆ หรือจะเป็นความรู้เกี่ยวกับ Lifestyle ที่เชื่อมโยงกับแบรนด์
- Content Entertain : คอนเทนต์แนวนี้ส่วนใหญ่แบรนด์จะมีมาสคอต เพราะคาแรคเตอร์สนุกสนานเป็นสิ่งที่สร้างยาก จึงต้องมีคอนเทนต์เพื่อ Represent มาสคอต และขายแบรนด์ในเวลาเดียวกัน
- Content Realtime : คอนเทนต์ที่ทำให้ Organic พุ่งขึ้นมารวดเร็ว เพราะเล่นโยงกับกระเสในช่วงนั้น แต่อยากแนะนำว่า ถ้าไม่เกี่ยวกับแบรนด์ ไม่จำเป็นต้องเล่น เพราะจะกลายเป็นแถไปซะเปล่าๆ
เมื่อเราได้ประเภทที่เหมาะสมกับแบรนด์แล้วให้ชั่งน้ำหนักว่าแบรนด์ของเราควรโพสต์ประเภทไหนมากที่สุดเช่น Content Promotion 30%, Content Lifestyle 20%, Content Entertain 30% และ Content Realtime 20%
เมื่อเราได้สัดส่วนแล้ว ให้คิดว่าในหนึ่งเดือนจะโพสต์เท่าไหร่ หรือในสัปดาห์หนึ่งจะโพสต์กี่โพสต์วันไหนบ้าง เช่น วางแผนจะโพสต์ 16 โพสต์ เสร็จแล้วก็คิดสัดส่วนว่าคอนเทนต์แต่ละประเภท จะตกกี่โพสต์และลงช่วงวันไหนดีสุด
การเริ่มคิดเป็นขั้นตอน จะทำให้เราเห็นภาพรวมว่าจะเกิดคอนเทนต์อะไรบน Social Media บ้าง เราต้องวาง Pillar แบบไหนถึงจะครอบคลุมทุกจุดเด่นที่แบรนด์มี และเป็นการสื่อสารแบบ Strong อิมแพ็คพอที่ทำให้เราทำคอนเทนต์หลีดกลุ่มเป้าหมายได้ พอเริ่มไปไม่นานไม่เกิน 1-2 เดือนจะเริ่มมีคนติดตามเรามากขึ้น หลังจากนั้นทุกอย่างจะเริ่มง่าย ซึ่งเกิดจาก Social Media มีพลังมากขึ้นนั่นเอง