หลังจากที่ครั้งก่อนทางทีมงาน thumbsup ได้เขียนเกี่ยวกับการสื่อสารระหว่างแบรนด์กับลูกค้าผ่านทางเฟสบุคเพจที่ OMU ใช้เป็นช่องทางหลักในการทำแคมเปญและชี้แจงข้อมูลต่างๆ กับทางผู้ติดตาม
โดยเมื่อวานนี้ (15 มิ.ย.) เพียงวันเดียว ทางร้านได้ออกจดหมายชี้แจงถึง 3 ครั้ง ซึ่งรายละเอียดในการชี้แจงทั้ง 3 ครั้งนั้น มีเนื้อหาที่แตกต่างกันทั้งชี้แจงปัญหา เตรียมเอาเงินรายได้ไปทำกิจกรรมเพื่อสังคม และขอบคุณโซเชียลที่มีการพูดถึงแบรนด์โอมุบนโลกออนไลน์
ทางด้านของจดหมายชี้แจงฉบับแรกนั้น ยังคงเป็นการเขียนโดยเจ้าของร้านโอมุ ที่มองว่าการสื่อสารที่ดี คือการให้ข้อเท็จจริงและชี้แจงรายละเอียดต่างๆ รวมทั้งเห็นผลของความคืบหน้าของการทำงานร่วมกัน เนื้อหามีดังนี้
โพสต์นี้เป็นโพสต์แรกจากจำนวน 3 โพสต์ที่ทางเรากำลังเตรียมส่งออกในวันนี้
โพสต์แรกที่สำคัญนี้ ผมขอเขียนขึ้นเพื่อกล่าวขอโทษคุณลูกค้าที่เคยสนับสนุนเราในช่วงแรก แต่รู้สึกผิดหวังกับสิ่งที่เราทำลงไปในช่วงหลัง สำหรับโพสต์ที่สองและสามจะทยอยออกมาตามลำดับครับ
——————-
เรียน “คุณลูกค้าที่เคยสนับสนุนเราและผิดหวังในสิ่งที่เราทำ”
สวัสดีครับ ผม ดู๋ ครับ
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้เกิดการวิจารณ์ออกเป็นหลาย ๆ เสียง และการกระทำบางอย่างของเราได้ทำลายความรู้สึกที่ดีของคุณที่มีต่อเรา ซึ่งผมต้องขอโทษมา ณ ที่นี้ด้วย
ถึงแม้จะได้รับกระแสวิพากย์ไปในทางลบ แต่ผมอยากแจ้งให้ทราบถึงวัตถุประสงค์ของแคมเปญนี้
คือโอมุเมื่อประมาณ 2 เดือนที่แล้ว มีแนวโน้มที่จะต้องปิดตัวลงในเวลาอันใกล้ ด้วยเงื่อนไขทางด้านการเงิน
ตัวผมผู้เป็นเจ้าของกิจการ ไม่อยากให้เราต้องเสียน้อง ๆ พนักงานคนไหนไป
และเมื่อ 1-2 เดือนที่ผ่านมาได้ ผมจึงอยากทำอะไรบางอย่างเพื่อรักษาชีวิตธุรกิจและทีมงานของเราไว้ และได้เกิดเป็นแคมเปญ #saveomu และ แคมเปญการตั้งออเดอร์เป้าหมายต่อวัน ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีในช่วงแรก แต่กลับเกิดการวิพากษ์วิจารณ์ออกไปในทางลบในช่วงหลัง ๆ
ตัวผมเองก็เข้าใจว่าทุกอย่างมันมีอะไรที่ต้องแลกมาเสมอ
วันนี้ผมกลับมานั่งคิดว่า ถ้าวันนั้นเราปล่อยให้โอมุต้องปิดตัวลง โดยไม่คิด ไม่ทำอะไรเลย เราคงจากไปพร้อมกับคำว่า “ตำนานข้าวห่อไข่ที่ทุกคนคิดถึง” ซึ่งก็น่าจะเป็นตอนจบที่สวยดี แต่ผมว่านั่นไม่ได้มีค่าอะไรเลย เมื่อเทียบกับการที่ร้านจะได้มีชีวิตอยู่ต่อไป
จริงครับ ผมเข้าใจว่าหลาย ๆ ธุรกิจ หลาย ๆ ร้านอาหาร ก็เจอสถานการณ์นี้เหมือนกัน แต่ไม่ได้ออกมาร้องขอความช่วยเหลือ อันนั้นก็เป็นทางเลือกหนึ่งครับ แต่ทางที่ผมและพวกเราเลือก คือการขอความช่วยเหลืออย่างจริงใจ ตรงไปตรงมา แม้จะต้องแลกมาด้วยการก้มหน้ายอมรับกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในทางลบก็ตาม
เราได้เรียนรู้ว่า มีหลายท่านที่รู้สึกว่าเราขอมากเกินไป ทั้งนี้หากการกระทำของเราในช่วงที่ผ่านมานั้นเกินเลย และทำลายความรู้สึกดีที่คุณเคยมีให้กับเรา ผมต้องขอโทษทุกคน มา ณ ที่นี้ด้วยครับ
ตอนนี้ Omu ได้รับบทเรียนครั้งใหญ่แล้วครับ เราได้อ่านหลายคอมเมนต์ที่ว่า เราควรจะหันกลับมาสื่อสารเรื่อง ความอร่อยของข้าวห่อไข่ของเรา ซึ่งนั่นต่างหากคือเรื่องที่ทุกคนมองหาจากการทาน Omu
ซึ่งจุดนี้เราเห็นด้วยครับ และขอน้อมรับฟังเสียงของพวกคุณทุกคนครับ เราขอโทษสำหรับที่ผ่านมาและเราขอสัญญาว่า เราจะกลับมาสื่อสารโดยเน้นไปที่ การนำเสนอรสชาติ ความอร่อยของข้าวห่อไข่ที่เราภูมิใจอีกครั้ง เราหวังอย่างยิ่งครับว่าคุณลูกค้าที่รู้สึกผิดหวังในสิ่งที่ผ่านมา จะสามารถให้อภัยเราได้ และโปรดรอติดตามการนำเสนอความน่ากินของเราได้เร็ว ๆ นี้ ต่อไปครับ
ซึ่งจากทิศทางคอมเมนต์ภายในเพจนั้น ต้องยอมรับว่ามีทิศทางไปในแง่ดี เพราะลูกค้าและผู้ติดตามหลายคนได้ออกมาให้กำลังใจ และอยากให้ทางร้านสู้กับปัญหาต่างๆ ที่เข้ามาให้ผ่านพ้นไป และอยากให้ทางร้านมองข้ามเรื่องการดราม่าต่างๆ ไป รวมทั้งสนับสนุนให้ลูกค้าสื่อสารความตรงไปตรงมากับลูกค้า เพราะเป็นสิ่งที่ดีกับผู้บริโภคที่สุดจากนั้นก็มีการโพสต์ครั้งที่ 2 ออกมา โดยรายละเอียดชี้แจงว่าโพสต์นี้เป็นโพสต์ที่ 2 จากจำนวน 3 โพสต์ที่ทางเรากำลังส่งออกในวันนี้ครับ
เมื่อประมาณ 10:30 น. เช้าวันนี้ เราได้สื่อสารเพื่อขอโทษต่อกลุ่มคุณลูกค้าที่เคยสนับสนุนเราในช่วงแรกแต่รู้สึกผิดหวังกับสิ่งที่เราทำลงไปในช่วงหลังสำหรับโพสต์นี้ เป็นโพสต์ที่สำคัญมากที่สุด ผมเขียนขึ้นเพื่อกล่าวขอบคุณต่อคุณลูกค้าที่รักเราและสนับสนุนเรามาโดยตลอดจนกระทั่งถึงเดี๋ยวนี้
——————————-
เรียน “คุณลูกค้าที่รักเราและสนับสนุนเราเสมอมา”
สวัสดีครับ ผม ดู๋ ครับก่อนอื่นเลย ผมต้องขอขอบคุณน้ำใจ ความหวังดีและความกรุณาของทุกคนตรงนี้มาก ๆ ครับ
ตอนนั้นมีคุณลูกค้าที่รักเราได้เข้ามาให้กำลังใจเราจำนวนมากหลังจากนั้น ก็มีการติดตามรายงานยอดขาย พร้อมทั้งช่วยเราลุ้นว่าการสนับสนุนจะเป็นไปตามเป้าหมายหรือไม่ จะช่วยให้ร้านเราผ่านพ้นวิกฤติได้หรือไม่
และแม้กระทั้งตอนนี้ที่เกิดกระแสการแสดงความเห็นเชิงลบต่อสิ่งที่เราทำ ก็ยังมีลูกค้าของเราหลายท่านอินบอกซ์ส่วนตัวเข้ามาที่เพจเพื่อให้กำลังใจและความเป็นห่วง พร้อมทั้งถามถึงการรายงานยอดขายด้วยความเป็นห่วงว่าได้ตามเป้าหรือไม่สำหรับเรา ไม่มีอะไรจะเป็นกำลังใจให้ทีมงานไปได้ดีกว่านี้อีกแล้ว
สำหรับคุณลูกค้าที่ให้การสนับสนุนเราจริงๆ มีความประทับใจกับร้านเราจริง ๆ และเข้าใจเราจริง ๆ เราขอขอบคุณจากใจครับเนื่องด้วยสถานการณ์กระแสข่าวที่เกิดขึ้น ในช่วงหลายวันที่ผ่านมา เราจึงไม่ได้รายงานยอดขายเหมือนเคย และเพื่อไม่ให้เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ต่อไป เราจึงต้องขอจบแคมเปญ Now More Than Ever ลงในวันนี้ แม้จะยังไม่ครบ 30 วัน ตามที่เราตั้งใจไว้
อย่างที่เราบอกไว้ครับ ว่าเราขอการสนับสนุนยอด 300 ออเดอร์ต่อวัน เป็นระยะเวลา 30 วัน เพื่อให้เราอยู่รอด
ซึ่งหลังจากสิ้นสุดเมื่อวานรวมระยะเวลาทั้งหมด 28 วัน โดยเฉลี่ยแล้วเราได้ยอดออเดอร์ต่อวันอยู่ที่ 433 ออเดอร์ ซึ่งมากกว่าที่เราตั้งเป้าไว้
อย่างไรก็ตาม เราอยากอธิบายถึงที่มาที่ไปของการตั้งเป้าที่ 300 ออเดอร์ ให้คุณลูกค้าที่สนับสนุนเราเข้าใจเพิ่มเติมอีกซักนิดครับ เพราะมีกระแสวิจารณ์ว่า เราได้ยอดขายเกิน 300 ทุกวัน คงมีกำไรมากมาย ทำไมถึงมาขอร้องให้ช่วยอีก
เราตั้งเป้า 300 ออเดอร์โดยคำนวณจาก รายได้ที่เราจำเป็นจะต้องใช้จ่ายเงินเดือนพนักงาน บวกกับค่าใช้จ่ายบางส่วน แต่ยอดนี้ไม่ได้เพียงพอกับจำนวนค่าใช้จ่ายทั้งหมดของทางร้าน ซึ่งหลัก ๆ เป็นเรื่องของค่าเช่าที่ทางร้านยังคงต้องหาเงินชำระเองในส่วนนี้
ผมเชื่อว่า หลาย ๆ ท่านน่าจะเคยมีประสบการณ์บางครั้งที่อยากอธิบายความเป็นจริงอย่างถูกต้องครบถ้วนทุกแง่มุม เพื่อให้ทุกคนเข้าใจถูกต้องในตัวเรา แต่ก็ไม่สามารถทำได้ด้วยข้อจำกัดบางประการที่จะส่งผลกับสิ่งอื่น ๆ ตามมา
วันนี้ผมแค่อยากแสดงความบริสุทธิ์ใจกับคุณลูกค้าซึ่งเป็นผู้ที่สนับสนุนเราตั้งแต่ต้น และเป็นคนกลุ่มคนที่สำคัญที่สุดสำหรับเราเราขอยืนยันว่า Omu ออกแคมเปญมาเพื่อดูแลพนักงานจริง ๆ ถึงแม้มันอาจเรียกได้ว่าเป็นแคมเปญการตลาด แต่มันไม่ได้เป็นแคมเปญการตลาดที่ออกมาเพื่อแสวงหากำไรส่วนเกินให้กับผมหรือผู้บริหารแต่อย่างใด
สำหรับเรื่องการเงิน ผมคงสามารถอธิบายได้คร่าว ๆ เพียงเท่านี้
ขอกลับมาที่เรื่องยอดขายที่ 433 ออเดอร์ต่อวันที่เราได้มาในช่วงที่ผ่านมานี้ อย่างที่เรามีเกริ่นไว้กับคุณลูกค้าแล้วในโพสต์หนึ่งของเราตั้งแต่ช่วงก่อนที่จะเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ ว่า เรากำลังคิดเตรียมการเพื่อตอบแทนคืนสังคมในกรณีที่ยอดขายที่ได้มามากเกินเป้าหมายที่เราวางไว้
เราคิดว่าเราอยากตอบแทนคุณลูกค้าและสังคมโดยการนำเงิน 28 บาท ต่อออเดอร์ สำหรับทุกออเดอร์ที่เกินเป้าหมายที่เราวางไว้ ออกมาทำการกุศลหรือทำอะไรก็ได้เพื่อแสดงการตอบแทนการช่วยเหลือของคุณลูกค้าที่สนับสนุนเรา
ซึ่งเงินจำนวนนี้ รวมแล้วเป็นเงิน 104,272 บาท (28 บาท x จำนวน 133 ออเดอร์ x 28 วัน ) ตอนนี้ เราเลยอยากเชิญชวนให้คุณลูกค้าที่รักเรา ที่สนับสนุนเรา เข้าใจเรา เข้ามาร่วมกันแสดงความคิดเห็นครับ ว่า เงินจำนวน 104,272 บาท นี้ Omu ควรจะนำไปทำอะไรเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับคุณลูกค้าหรือสังคมโดยรวม
(โดยทางร้านจะพิจารณาตัดสินใจเลือกจากแนวคิดที่มีพวกเราสนับสนุนกันมาก แนวคิดที่ถูกคลิกไลก์หรือถูกแสดงความคิดเห็นสนับสนุนมาก และเป็นแนวคิดที่ทางร้านสามารถนำไปปฏิบัติได้จริงครับ)
เรารอฟังความเห็นจากพวกคุณทุกคนนะครับ
ขอบคุณมาก ๆ อีกครั้งครับ
————–
สุดท้ายนี้ เราอยากขอยืนยันกับคุณลูกค้าว่า แม้จะเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในเชิงลบ แต่แรงสนับสนุนจากคุณลูกค้าที่ให้กับเราในช่วงที่ผ่านมาไม่ได้เป็นไปโดยสูญเปล่าเลย
ท่ามกลางกระแสวิพากษ์วิจารณ์ และภาวะที่ธุรกิจต่าง ๆ เริ่มล้มหาย แต่ด้วยการสนับสนุนจากคุณลูกค้าทุกท่าน ทำให้พนักงานของเรายังมีงานทำ และร้านยังคงดำเนินต่อมาจากจุดนั้นจนถึงวันนี้ เราขอบคุณมาก ๆ ครับ
Omu ขอบคุณคุณลูกค้าที่ยังรักเรา เข้าใจเรา และพร้อมจะสนับสนุนเรา คุณลูกค้าคือคนสำคัญของเรา
และเพื่อป้องกันการเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์เชิงลบในโซเชียลต่อไป จากนี้เราจะหลีกเลี่ยงการขอความเห็นใจ หรือกล่าวขอแรงสนับสนุนใด ๆ อีก โดยเราจะปรับแนวทางการสื่อสาร โดยนำเสนอแต่เรื่องราวความอร่อยของเรา ความอร่อยแบบสุด ๆ ให้สมกับที่พวกคุณเรียกเราว่า “ข้าวห่อไข่ที่มีแสงพุ่งออกมา”
แม้อนาคตข้างหน้าของ Omu จะมีแต่ความไม่แน่นอน และไม่มีอะไรรับประกันการอยู่รอดของเรา แต่พวกเราทุกคนสัญญาว่าจะตั้งใจทำข้าวห่อไข่ที่ดีที่สุด และเราจะพยายามรักษามาตรฐานการบริการให้เป็นที่พึงพอใจ เพื่อส่งมอบความสุขต่อพวกคุณให้ได้นานที่สุดต่อไป
ขอบคุณครับ
ปล. ให้กำลังใจและคอมเมนต์เราใต้โพสต์นี้ได้นะครับ แต่ถ้าเป็นไปได้ อย่าลืมออกไอเดียเรื่องการตอบแทนลูกค้าและสังคมด้วยครับ ขอบคุณครับ
สำหรับโพสต์ที่ 2 นี้เป็นการชี้แจงการทำแคมเปญ 300 ออเดอร์ต่อวันว่าทำไมถึงต้องโพสต์เรื่องยอดขายและรายได้ให้ผู้บริโภคทราบ รวมทั้งการขอความคิดเห็นเกี่ยวกับการนำยอดเงินออเดอร์ใน 28 วันไปสร้างประโยชน์เพื่อสังคมอย่างไรบ้าง ซึ่งจะเลือกความน่าสนใจของแคมเปญจากแนวคิดที่คนสนับสนุนกัน
ซึ่งทิศทางของคนที่เข้าไปแสดงความคิดเห็น ก็เป็นการนำเสนอแนวคิดการช่วยเหลือสังคมกันอย่างคึกคักและน่าสนใจ มีทั้งเสนอการทำกิจกรรม CSR ที่น่าสนใจ รวมทั้งอยากให้เอาเงินไปช่วยเหลือพนักงานมากกว่า เพราะภาวะวิกฤตแบบนี้ความไม่แน่นอนของธุรกิจยังมีความเสี่ยงสูง
และจบที่โพสต์ที่ 3
โพสต์นี้เป็นโพสต์สุดท้ายจาก 3 โพสต์ที่ทางเราส่งออกในวันนี้
สำหรับโพสต์แรก เราได้ทำการขอโทษต่อลูกค้าคนสำคัญกลุ่มหนึ่งที่ผิดหวังในตัวเราจากการกระทำของเราในช่วงที่ผ่านมา
สำหรับโพสต์ที่สอง เราได้สื่อสารเพื่อขอบคุณกลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่ที่รักเรา สนับสนุนเรา และเข้าใจเรามาโดยตลอด
โพสต์นี้ ผมขอเขียนขึ้นเพื่อขอบคุณ ผู้คนอื่น ๆ บนโลกโซเชียลที่ถึงแม้ไม่ใช่ลูกค้าของเราแต่ให้ความสนใจในกรณีที่เกิดขึ้น รวมถึงสื่อออนไลน์ต่าง ๆ ที่นำเสนอเรื่องราวของเราและให้เกียรติยกเราเป็นกรณีศึกษาครับ
—————-
เรียน “ผู้คนบนโซเชียลที่ให้ความสนใจเรื่องของโอมุในช่วงที่ผ่านมา”
สวัสดีครับ ผม ดู๋ ครับ ผมเป็นเจ้าของร้าน Omu
ผมเชื่อว่า การเป็นบุคคลสาธารณะที่ดี จำเป็นที่จะต้องยอมรับการวิพากษ์วิจารณ์จากสาธารณะได้
สำหรับ Omu ซึ่งเป็นร้านข้าวห่อไข่ที่เป็นส่วนหนึ่งของสังคม ย่อมต้องมีความเป็นของสาธารณะเช่นกัน
ในบางครั้งเราก็ทำในสิ่งที่ถูกต้องและเกิดผลดี
ในบางครั้งเราก็ทำผิดพลาด และอาจก่อให้เกิดกระแสตอบรับในทางลบ
เราเองก็เคารพสังคมประชาธิปไตย สิทธิเสรีภาพ Freedom of Speech และสิทธิในการแสดงออกซึ่งความคิดเห็น
และหากการกระทำของเราก่อให้เกิดผลเสียหายต่อผู้ใด ไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง เราต้องขอโทษมา ณ ที่นี้ด้วย เราขอน้อมรับฟังและขอบคุณสำหรับความคิดเห็นจากทุกคนครับ
และโพสต์สุดท้ายที่ดูเหมือนจะเป็นการปิดท้ายของสองโพสต์ก่อนหน้านี้ กลายเป็นการสรุปการสื่อสารที่พินาศที่สุด เพราะการสรุปที่เหมือนจะดีที่ทำมาก่อนหน้านี้ จากคอมเมนต์ในโพสต์ต่างๆ จะเห็นว่า ความพยายามที่ทำมาได้ดีก่อนหน้านี้ทั้งสามโพสต์นั้น การสรุปนี้เป็นสิ่งที่ไม่น่ารักที่สุด มียอดแชร์และส่งต่อเยอะสุด รวมทั้งเนื้อหาเชิงตัดพ้อนั้น ยิ่งกลายเป็นการตอกย้ำในมุมมองที่ไม่เปิดรับความคิดเห็นของคนอื่นมากขึ้นไปอีก
หลายคอมเมนต์โพสต์ไปในทางเดียวกันว่าเจ้าของร้านไม่ควรออกมาโพสต์ใดๆ อีก เพราะเนื้อหาที่โพสต์แทนที่จะเป็นการกอบกู้ภาพลักษณ์ให้ดี แต่ยิ่งกลายเป็นความพังที่รุนแรงหนักขึ้นไปอีก และอยากให้ทางคนที่สื่อสารบนโลกออนไลน์นี้ เน้นการสร้างสรรค์เมนูอาหาร การทำโปรโมชั่นมากกว่าการสื่อสารที่ไม่เกิดประโยชน์แบบนี้
ทางผู้เขียน ขอเป็นกำลังใจให้ทางร้านผ่านพ้นปัญหานี้ไปได้นะคะ