ผลสำรวจโดยเทเลนอร์กรุ๊ปและองค์การแพลนอินเตอร์เนชั่นแนลเผย 2 ใน 3 ของเยาวชนในประเทศไทย มาเลเซีย บังคลาเทศ และปากีสถาน มองว่า “การกลั่นแกล้งทางโลกออนไลน์” เป็นปัญหาร้ายแรงสำหรับเด็กและเยาวชนในปัจจุบัน ขณะที่สถานการณ์โควิด-19 เพิ่มปริมาณความชุกปัญหาไซเบอร์บูลลี่จาก 25% เป็น 29%
นอกจากนี้ ยังพบอีกว่า 14% ของเยาวชนมีประสบการณ์ไซเบอร์บูลลี่อย่างน้อยสัปดาห์ละหนึ่งครั้ง โดยช่องทางโซเชียลมีเดีย แอปส่งข้อความ และเกมออนไลน์ เป็น 3 ช่องทางออนไลน์หลักที่เยาวชนมีประสบการณ์การไซเบอร์บูลลี่มากที่สุด
ผลการสำรวจยังระบุอีกด้วยว่า เยาวชนที่เคยถูกบูลลี่มีการใช้กลวิธีที่หลากหลายเพื่อหยุดยั้งการบูลลี่ที่เกิดขึ้น ทั้งการเพิกเฉยต่อการกระทำนั้นๆ เปลี่ยนการตั้งค่าความปลอดภัยเพื่อให้ผู้กลั่นแกล้งไม่สามารถเข้าถึงได้ ตลอดจนการพูดคุยกับผู้ปกครองเพื่อเป็นเกราะป้องกันจากปัญหาที่อาจตามมาได้
ทบทวนแนวทางในใช้อินเทอร์เน็ตอย่างปลอดภัย
นางมานิชา ดอกรา ผู้อำนวยการฝ่ายความยั่งยืน เทเลนอร์ เอเชีย กล่าวว่า “ด้วยสถานการณ์โควิด-19 ที่ทำให้เด็กและเยาวชนใช้เวลาบนโลกออนไลน์มากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้นจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งที่จะต้องมีการจัดหาแนวทางหรือวิธีการที่จะป้องกันพวกเขาจากภัยออนไลน์ ตลอดจนการสร้างการรับรู้ จัดอบรมเกี่ยวกับไซเบอร์บูลลี่ และการพัฒนาความสามารถในการปรับตัวต่อภัยของโลกไซเบอร์
ซึ่งเราไม่ควรปล่อยให้เป็นหน้าที่ของสถาบันการศึกษาเพียงอย่างเดียว แต่ควรดึงผู้มีส่วนเกี่ยวข้องต่างๆ เข้ามาร่วมมือกันเพื่อต่อกรกับภัยออนไลน์เหล่านี้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นผู้ปกครอง ภาครัฐ ภาคประชาสังคม นักวิชาการ ตลอดจนองค์กรเอกชนอย่างเทเลนอร์ที่มีบทบาทต่อการส่งเสริมในการสร้างภูมิคุ้มกันทางออนไลน์เสมอมา”
ด้วยประเด็นไซเบอร์บูลลี่ที่มีความสำคัญยิ่งขึ้นในเด็กและเยาวชน โดยเฉพาะในสถานการณ์โควิด-19 ที่มีความชุกของสถานการณ์ที่เพิ่มขึ้น เด็กและเยาวชนแสดงความเห็นว่าควรมีการจัดอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับทักษะการรับมือกับไซเบอร์บูลลี่บนโซเชียลมีเดียมากที่สุด (56%) ตามด้วยการรักษาความเป็นส่วนตัวบนโลกออนไลน์ (46%) และการรักษาและความสุขภาพจิต (43%)
นอกจากนี้ ผู้ตอบแบบสอบถามยังต้องการการอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับการรับมือไซเบอร์บูลลี่ผ่านทางแอปแชทถึง 40% ตามด้วยการรับมือไซเบอร์บูลลี่ผ่านเกมออนไลน์ที่ 37%
นางคริสตา ซิมเมอร์แมน ผู้อำนวยการฝ่ายโครงการ องค์การแพลนอินเทอร์เนชั่นแนล ภูมิภาคเอเชีย อธิบายว่า อินเทอร์เน็ตมีบทบาทสำคัญในการเชื่อมต่อผู้คนเข้าด้วยกัน ช่วยให้เข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้ง่ายขึ้น อย่างไรก็ตาม จากผลสำรวจได้แสดงถึงความท้าทายที่สูงขึ้นบนภูมิทัศน์ดิจิทัล จากข้อมูลผลสำรวจขององค์การแพลนอินเทอร์เนชั่นแนลบ่งชี้ว่า เด็กและเยาวชนหญิงในเอเชียต่างเผชิญกับการล่วงละเมิดและถูกข่มขู่บนโลกออนไลน์ ทำให้พวกเธอเลิกใช้อินเทอร์เน็ต นำไปสู่โอกาสและเสียงที่ถูกจำกัดในการได้ยินบนโลกออนไลน์
ดังนั้น การสร้างโอกาสที่เท่าเทียมระหว่างเพศบนโลกออนไลน์จึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง และเพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าว การส่งเสริมความรู้ความเข้าใจในการใช้อินเทอร์เน็ตในเด็กและเยาวชนผู้หญิง ตลอดจนครอบครัว จึงมีความจำเป็นอย่างมาก
เด็กไทยแชมป์ใช้ออนไลน์สูงสุด
จากผลการสำรวจพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามราว 70% ใช้เวลาบนโลกออนไลน์เพิ่มขึ้นตั้งแต่โรคโควิด-19 ระบาด โดย 34% ใช้อินเทอร์เน็ตตลอดเวลาตั้งแต่ตื่นนอนจนเข้านอน ขณะที่ 24% ใช้อินเทอร์เน็ตในช่วงเย็นเป็นหลัก มีเพียง 7% เท่านั้นที่ใช้อินเทอร์เน็ตเฉพาะในเวลาเรียน
ทั้งนี้ การใช้อินเทอร์เน็ตแปรผันไปตามสถานการณ์ในแต่ละประเทศ โดยเด็กและเยาวชนในไทยใช้งานอินเทอร์เน็ตในระดับสูง โดย 47% ของเด็กไทยใช้อินเทอร์เน็ตตลอดเวลา ตามด้วยมาเลเซียที่ 45% บังคลาเทศ 35% และปากีสถาน 17%
ใช้ออนไลน์อย่างไรให้ปลอดภัย
สำหรับผู้ปกครอง
1. หมั่นพูดคุยกับลูกหลานเกี่ยวกับประสบการณ์ในการใช้งานอินเทอร์เน็ต
2. เปิดใจ ทำให้เด็กๆ รู้สึกปลอดภัยและสบายใจเมื่อได้พูดคุยกับเรา และนั่นจะทำให้พวกเขากล้าเปิดเผยถึงประสบการณ์ที่พวกเขาพบเจอบนโลกออนไลน์
3. ควรศึกษาว่าแต่ละโซเชียลมีเดียใช้งานแตกต่างกันอย่างไร เพื่อให้ง่ายขึ้นต่อการทราบถึงความเสี่ยงจากการใช้งานของแอปฯ ที่ละชนิด
สำหรับเด็กและเยาวชน
1. คิดก่อนโพสต์ เอาใจเขาใส่ใจเราก่อนที่จะโพสต์อะไรออกไป เพราะสิ่งนั้นสามารถทำร้ายจิตใจคนอื่นได้
2. ไม่เปิดเผยพาสเวิร์ดของเราต่อผู้อื่น แม้กระทั่งเพื่อนสนิท รวมถึงข้อมูลสส่วนบุคคลของตัวเองบนโลกออนไลน์
3. ขอความช่วยเหลือ ไม่ควรทนทุกข์อยู่เพียงลำพัง หากเผชิญกับการถูกบูลลี่ หรือไม่เช่นนั้น ควรติดต่อสายด่วนที่จะช่วยให้เราได้รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ
ข้อมูลเพิ่มเติมที่:
10 เคล็ดลับสำหรับผู้ปกครอง – พูดคุยกับบุตรหลานของคุณอย่างไรเกี่ยวกับประสบการณ์ใช้งานบนอินเทอร์เน็ต
10 เคล็ดลับสำหรับเด็กและเยาวชน – ใช้งานอินเทอร์เน็ตและอยู่บนโลกออนไลน์ได้อย่างปลอดภัย
Digiworld
ตัวเลขจากผลการสำรวจที่สำคัญ
เด็กและเยาวชนจำนวนกว่า 4,000 คนใน 4 ประเทศร่วมตอบแบบสอบถาม แบ่งเป็นเพศหญิง 50% เพศชาย 47% และไม่ระบุเพศ 3%
แบ่งตามประเทศ ได้แก่ มาเลเซีย 38% ปากีสถาน 34% บังคลาเทศ 16% และไทย 12%
แบ่งตามอายุ ได้แก่ 13-15 ปี จำนวน 38%, 16-18 ปี จำนวน 32%, 19-21 ปี จำนวน 18%, 10-12 ปี จำนวน 6% และต่ำกว่า 10 ปี จำนวน 1%