ถึงแม้สถานการณ์ตอนนี้จะดีขึ้น แต่วงการเอเจนซี่จะรู้กันดีว่า ผลกระทบที่เกิดขึ้นไม่ใช่แค่หลังจากโควิด-19 หายถึงจะดี แต่เป็นเศรษฐกิจที่ดีขึ้นแล้ว หลังจากโควิด-19 หายต่างหาก ถึงจะเริ่มหายใจกันสะดวกมากขึ้น อย่างน้อยผลกระทบเร็วสุดอาจจะสิ้นปีนี้ หรือลามไปอีกหลายปี เป็นสิ่งคาดการณ์ได้ยาก เพราะเศรษฐกิจปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลา
ผลกระทบที่มากกว่าโรคระบาด
ถ้าถามว่าทำไมผลกระทบถึงแรงยาวขนาดไปถึงปีหน้า นั่นเพราะผลกระทบโรคระบาดนี้ พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ และพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปนี้ จะย้อนกลับมาเป็นแบบปกติก็ค่อนข้างยาก เพราะช่วงเวลาที่เกิดโรคระบาด ใช้เวลานานเกือบปี จนมีแนวโน้มว่าพฤติกรรมของผู้บริโภคจะเปลี่ยนไปแบบถาวร
คำว่าพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปนี้ จะเปลี่ยนแค่ไหน จะเป็นแค่การเปลี่ยนจากโอกาสซื้อออนไลน์ 40% เป็น 70% หรือไม่ เพราะตัวเลขนี้ ก็สามารถพลิกแผนการตลาดให้เป็นอีกแผนได้เลย ถ้าในวงการเอเจนซี่ตอนนี้จะรู้กันดีว่าหลายแบรนด์ถามหา E-Commerce เป็นของตัวเองกัน ซึ่งหมายความว่า AW ต้องเปลี่ยน โทน Call to action จะเปลี่ยน รูปแบบของการโฆษณาก็เปลี่ยนไป
สมัยก่อนแบรนด์จะเน้น awareness กันเยอะ ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว กลายเป็น awareness ลากยาวไปถึง conversion เลย ซึ่งความยากคือเมื่อเป้าหมายไปถึง Conversion จะใช้งบต่อการสั่งซื้อ 1 ครั้งเพิ่มขึ้น ในขณะที่งบการตลาดกลับลดลง สิ่งที่ต้องแอคชั่นกับสิ่งที่ได้รับต่างกันขนาดนี้ นี่คือความท้าทายครึ่งปีหลังที่เหล่าเอเจนซี่ต้องเจอ
งบที่ลดหรืองบที่ไม่มี
ช่วงก่อนหน้าโควิด เอเจนซี่หรือสายงานออนไลน์ส่วนใหญ่จะถูก hold งานเอาไว้ โชคดีตอนนี้บางงานได้กลับมาทำต่อ ถ้าโชคร้ายคือหยุดไว้ก่อนแบบไม่มีกำหนด เหมือนโดนแคนเซิลงานแบบกลายๆ ซึ่งผลพวงก็มาจากงบที่ถูกหั่นแบบฟ้าผ่า หรืออาจต้องเรียกว่าไม่มีงบไปเลย (งบนี้สำหรับแบรนด์คือเลือกที่จะให้ทีมทำงานกันเองไม่ได้ใช้เอเจนซี่มาทำ)
การที่ไม่มีงบนี้ ส่งผลให้เกิดการทำตลาดในช่องทางใหม่เพิ่มมากขึ้น เช่น โฆษณาใน Tiktok ซึ่งหากทุกคนสังเกตดีๆ ภาพแอดแต่ละแบรนด์จะไม่ได้ใช้ Production ที่หวือหวามาก เหตุผลก็มาจากงบที่ลดลงและด้วยธรรมชาติของแพลตฟอร์มนี้จะไม่ต้องการ AW ที่ดูโฆษณามากเกินไป หรือจะเป็นอีกวิธีคือเซ็นไว้ก่อนจ่ายทีหลัง ให้ credit term ยาวๆ หรือจะซ้ำร้ายคืองานพี่น้อง
พูดตรงนี้อาจจะดูร้ายแรงไปนิด แต่ต้องบอกก่อนว่า ต่อให้ทำสัญญากันทั้งปีแล้วก็มีโอกาสแคนเซิลได้ เพราะวิกฤติที่เกิดขึ้นก็ร้ายแรงเพียงพอที่จะทำให้เอเจนซี่ต่อรองได้ยาก อีกอย่างคือตอนนี้แม้กระทั่งเอเจนซี่ใหญ่ๆ ยังทรงตัวไม่คล่อง เอเจนซี่เล็กๆ ที่เปิดมาเยอะมากเมื่อปีที่แล้ว ตอนนี้ก็พับกิจการไปค่อนข้างเยอะ
ทำให้ผลกระทบของธุรกิจดิจิทัลเอเจนซี่เลยซบเซา ไม่มีการแข่งขันที่ดุเดือด ต้องรอดูว่า MidYear Sale จะช่วยเพิ่มการใช้เงินของลูกค้าในปัจจุบันมากแค่ไหน
การหารายได้ทางอื่นของ Digital Agency
รายได้หลักของดิจิทัลเอเจนซี่ส่วนใหญ่ จะมาจากแบรนด์เป็นหลัก แคมเปญต่างๆ หรือการวางมีเดีย แต่แน่นอนว่าเมื่อไม่มีรายได้ตรงนี้จะทำยังไง ซึ่งจากที่เห็นการปรับตัวของแบรนด์ตอนนี้มีประมาณ 2 วิธีที่ทำหลักๆ คือ
1.เปิดคลาสสอนออนไลน์
ในเมื่อเรามีพนักงานที่เก่งด้านนี้อยู่แล้วในองค์กร และยังมีคนอีกมากที่อยากศึกษาทักษะนี้ การเปิดคลาสสอนออนไลน์จึงเป็นวิธีที่หลายเอเยนซี่เปิดสอนกัน ทั้งด้านการตลาด ครีเอทีฟ กราฟฟิค ตัดต่อ
2.จัดแพ็คเกจพรีเมียม
แพ็คเกจพรีเมียมสำหรับเป้าหมายใหญ่ เช่น แคมเปญเพิ่ม awareness ให้เห็นภาพคือเหมือนไปร้านอาหารแล้วร้านจัดชุดพิเศษสำหรับคนชอบกินเนื้อ เมื่อจัดเป็นชุดแสดงว่าราคาจะถูกลง ซึ่งเป็นทางเลือกที่แบรนด์มองหาในตอนนี้
ปีนี้ผลกระทบมีกันถ้วนหน้าและทุกธุรกิจจริงๆ ค่ะ แต่ครึ่งปีหลังนี้ยังมีแพลตฟอร์มใหม่ๆ มาอีกหลายเว็บให้อัพเดตกันอีก วิกฤติใหญ่ครั้งนี้ส่งผลให้การตลาดจะผิดจากการคาดการณ์ในตอนนี้ปีค่อนข้างเยอะ ติดตามคอนเทนต์สรุปการณ์คาดการณ์ครึ่งปีหลังได้ในคอนเทนต์ถัดไปเลยนะคะ