ย้อนไปเมื่อประมาณเดือนสิงหาคม ช่วงนั้นมีรายงานว่า Disney ตัดสินใจถอนตัวเออกจากแพลตฟอร์มของ Netflix เพื่อมาเปิดบริการสตรีมมิ่งคอนเทนต์ของตัวเอง ซึ่งนักวิเคราะห์ในตอนนั้น ก็ให้ความเห็นกันไปค่อนข้างหลากหลาย แต่ส่วนหนึ่งก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า เสียงจากนักวิเคราะห์ไม่ค่อยเห็นด้วยกับ Disney มากนัก เนื่องจากกระแสของ Netflix ในช่วงนั้นร้อนแรงสุด ๆ
แต่ Disney ก็เฉลยว่า ที่ตัดสินใจลงไปนั้น ไม่ใช่เพราะว่าบริษัทมีความสัมพันธ์กับ Netflix ที่แย่ลง หากเป็นเพราะ Disney อยากลองทำอะไรใหม่ ๆ หาออปชันใหม่ ๆ ให้กับคอนเทนต์ของตัวเองบ้างก็เท่านัน
การถอนตัวของ Disney ออกจาก Netflix เป็นข่าวใหญ่ทีเดียว และทำให้หุ้นของ Netflix ตกไปกว่า 5% เนื่องจากคอนเทนต์ของ Disney ต้องยุติการฉายบน Netflix ไปด้วย (ผู้ชมสามารถดูได้จนถึงสิ้นปี 2018) โดยในครั้งนั้น Disney แย้มไว้นิด ๆ ด้วยว่า บริษัทได้เตรียมการลงทุนครั้งใหญ่เอาไว้แล้ว
หลังจากนั้นไม่นาน Disney ได้ประกาศควบกิจการของ 21st Century Fox มูลค่า 52.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยที่ 1.7 ล้านล้านบาทอย่างเป็นทางการ ซึ่งจะทำให้ Disney ในตอนนี้กลายเป็นเจ้าของคอนเทนต์ขนาดมหึมา แถมยังมีเทคโนโลยีที่จะใช้ในการกระจายคอนเทนต์เหล่านั้นแล้วอย่างพร้อมสรรพ ไม่ว่าจะเป็น
- สิงหาคม 2017 – CNBC รายงานว่า Disney วางแผนจะเปิดบริการ VDO Streaming ให้กับ ESPN ในช่วงต้นปี 2018 ที่จะถึงนี้ โดยภายในแพลตฟอร์มจะมีอีเวนท์ของกีฬาต่าง ๆ มากกว่า 10,000 รายการต่อปี รวมถึงคอนเทนต์จาก MLB, NHL, MLS, กีฬาในสถานศึกษาต่าง ๆ และเทนนิสแกรนด์สแลม
- สิงหาคม 2017 – เพื่อเสริมแกร่งให้กับบริการด้านสตรีมมิ่ง Disney ยังได้เข้าถือหุ้น 33% ของ BAMtech ธุรกิจด้านมีเดียที่แยกตัวออกมาจาก MLB Advances Media คิดเป็นมูลค่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ
- สิงหาคม 2017 – Disney ยังมี ESPN, ESPN2, ABC, Freeform (เดิมชื่อ ABC Family), Disney Channel, Disney XD และ Disney Jr. ที่จะส่งขึ้นสตรีมมิ่งโดยมาพร้อมแพกเกจค่าบริการที่แตกต่างกัน
- ธันวาคม 2017 – Disney มีคอนเทนต์ทั้งภาพยนตร์และสตูดิโอรายการโทรทัศน์จาก 21st Century Fox ที่เพิ่งซื้อมาหมาด ๆ 52,400 ล้านเหรียญสหรัฐ
- ธันวาคม 2017 – ในจำนวนนี้ยังรวมถึง FX Networks, National Geographic, 300-plus international channels และเน็ตเวิร์กด้านกีฬาในอีก 22 ประเทศ รวมถึงบริษัท Sky ผู้ให้บริการบรอดแคสต์ในอังกฤษและออสเตรเลียของ 21st Century Fox ด้วย
- การซื้อกิจการของ 21st Century Fox ยังทำให้ Disney กลายเป็นผู้ถือหุ้นของ Hulu ไว้ถึง 60 เปอร์เซ็นต์
- คอนเทนต์ของ 21st Century Fox อย่าง X-Men, Deadpool, Planet of the Apes ก็จะตามเข้ามา
- นอกจากนั้น Disney ยังมี Star Wars, อนิเมชันของ Pixar, Mickey Mouse และ Simpson ด้วย
- อย่างไรก็ดี เนื่องจาก Disney เป็นเจ้าของช่อง ABC อยู่ ซึ่งตามกฎหมายของสหรัฐอเมริการะบุไว้ว่า บริษัทสามารถครอบครองได้เพียงช่องเดียว ทาง 21st Century Fox จึงต้องแยก Fox Broadcasting Network ออกไป รวมถึง Fox News, Fox Business, FS1, FS2 และ Big Ten Network ที่จะไม่นำมารวมในการควบกิจการครั้งนี้ด้วยนั่นเอง
Bob Iger ซีอีโอของ Disney กล่าวใหัสัมภาษณ์ไว้อย่างน่าสนใจ โดยเขาบอกว่า ความต้องการของผู้บริโภคต่างหากที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่ Disney
“ผู้บริโภคทุกวันนี้มีอิทธิพลมากขึ้น พวกเขาต้องการรับชมคอนเทนต์ดี ๆ ต้องการตัวเลือกเยอะ ๆ ต้องการความสะดวกสบาย ต้องการช่องทางในการเข้าถึงคอนเทนต์ได้หลากหลาย นี่ต่างหากที่เป็นตัวการเปลี่ยนเราอย่างแท้จริง”
ในอีกด้าน ก็มีนักวิเคราะห์จำนวนหนึ่งเช่นกันที่มองว่า ต่อให้ Disney บอกว่าอย่างไรก็ตาม นี่คือสัญญาณว่า Disney เตรียมตัวสำหรับการแข่งขันบนสื่อใหม่แล้วกับคู่แข่งอย่าง Netflix, Amazon (รวมถึงอาจมี Google และ Apple ที่จะตามมาในอนาคต)