เริ่มต้นจากการโพสต์ข่าวทางช่องไทยรัฐทีวี เกี่ยวกับคนดังที่มีความเรื่องมากในการทำงาน จากนั้นเพจใต้เตียงดาราก็นำมาแซะและช่วยค้นหาว่าซุปตาร์คนดังกล่าวคือใคร ก่อนจะมีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นกันมากมาย ไม่ว่าจะเป็น คู่ขวัญบุพเพสันนิวาสอย่าง โป๊ป-เบลล่า บอสวศิน จากเมีย 2018 จนมาถึงเป๊ก ผลิตโชค แม้ในเพจจะยังไม่สรุปว่าเป็นใคร แต่ใน Twitter เรียกว่าร้อนระอุและอาจส่งผลกระทบใหญ่ถึงแบรนด์แล้ว
ที่มาที่ไป
โดยคำใบ้ที่บันเทิงไทยรัฐปล่อยออกมา มี 4 เรื่อง คือ
- คนติดตาม 25 คน แบ่งหน้าที่กันไป หากลูกค้าทำผิดข้อตกลง จะมีการเรียกเก็บเงินย้อนหลัง
- มีคนชิมอาหารให้ก่อน ป้องกันซุปตาร์ไม่สบาย
- คิดเงินเพิ่ม 50,000 บาท กรณีลูกค้าขอถ่ายเซลฟี่
- คิดเงินเพิ่มนาทีละ 50,000 บาท กรณีงานล่าช้า
ซึ่งแฮชแท็ก #พีอาร์ยืนหนึ่ง ได้ขึ้นเป็น Trending อันดับ 1 พร้อมกับชื่อแบรนด์เครื่องสำอางค์อย่างรวดเร็ว
แน่นอนว่า คำใบ้เหล่านี้ถูกกระทบถึงเหล่าคนดังหลายคน โดยมีคำใบ้ปริศนาแนบมาคือ เป็นดารามานานแต่พึ่งจะโป้งป้างกลายเป็นเบอร์ 1 ของค่าย พรีเซ็นเตอร์ 10 กว่าตัว และเมื่อทายกันมาทั้งวัน หวยก็ตกมาที่ เป๊ก ผลิตโชค ที่มีทีมงานของผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางค์แบรนด์หนึ่งออกมาแฉว่า พรีเซนเตอร์คนดังมีความเรื่องมากและเรียกร้องเงินมากเกินไป แต่ต้องเรียกว่ากลุ่มแฟนคลับของเป๊ก ช่วยค้นหาความจริงอย่างถึงที่สุดว่า ข่าวลือที่มีคนปล่อยออกมานั้นเป็นเรื่องจริงหรือไม่
จากนั้นมีการค้นหาต้นตอของเรื่องราวดังกล่าว พบว่าต้นเรื่องมาจาก PR องค์กรของแบรนด์ Cathy Doll เอง ที่มีการเล่าเรื่องราวภายในบริษัทให้แก่เพื่อนที่เป็นนักข่าวของไทยรัฐได้ฟัง จากนั้นก็เกิดเป็นข่าวขึ้นมา ซึ่งชาวเน็ตก็ค้นหาประวัติของ PR คนดังกล่าว จนพบปัญหาผิดปกติหลายอย่าง ทั้งสีหน้าท่ีไม่พอใจพรีเซนเตอร์ระหว่างการแถลงข่าว ความไม่พอใจในเหตุการณ์ต่างๆ รวมถึงกิจกรรมแจกสินค้าของแบรนด์ จนเรื่องดังกล่าวร้อนถึงทีมบริหารของแบรนด์ Cathy Doll ต้องรีบออกมาแก้สถานการณ์
ทั้งนี้ มีชาวเน็ตบางคน ได้สอบถามทีมบริหารด้วยการ Inbox ไปถึงผู้บริหารหลักของแบรนด์เครื่องสำอางค์ดังกล่าว และมีการเรียกสอบสวนด่วนถึงกรณีที่เกิดขึ้น และเมื่อช่วงเย็นของวันก็ได้มีการออกจดหมายแถลงการณ์ชี้แจงลงโทษกรณีเหตุ #พีอาร์ยืนหนึ่ง เรียบร้อยแล้ว สรุปใจความในเนื้อหาคือ PR ปฏิบัติตัวไม่เหมาะสม สร้างผลกระทบเชิงลบต่อแบรนด์ จึงประกาศให้พ้นสภาพจากการเป็นพนักงานทันที
งานนี้เรียกว่าจัดการปิดคดีได้อย่างรวดเร็ว เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อเนื่องยาวนาน เพราะกลุ่มแฟนคลับนั้น ไม่ว่าจะไทยหรือเกาหลีถือว่าเป็นกลุ่มผู้มีกำลังซื้อและการสื่อสารของคนกลุ่มนี้จะส่งต่ออย่างรวดเร็ว ดังนั้น แบรนด์หรือนักการตลาดที่ทำสินค้าร่วมกับกลุ่มแฟนคลับ ต้องระมัดระวังให้ดี เพราะคนที่เล่น Twitter ไม่ใช่กลุ่มเด็กที่ไม่มีกำลังซื้ออีกต่อไป แต่พวกเขาได้เติบโต มีรายได้และเป็นกลุ่มผู้มีกำลังซื้อในอนาคตด้วย
รวมทั้งเรื่องราวเชิงลบที่เกิดขึ้นใน Twitter มักส่งต่อกันอย่างรวดเร็ว มีหลายกรณีที่เกิดขึ้น แบรนด์และนักการตลาดจึงต้องศึกษากรณีต่างๆ อย่างรอบคอบด้วยนะคะ