การแชร์ภาพต่างๆ สิ่งที่ตามมาแบบหลายคนคงไม่ทันคิดก็คงจะเป็นเรื่องลิขสิทธิ์ของเจ้าของภาพ และนี่ก็เป็นอีกกรณีหนึ่งที่เกิดขึ้นกับ Pinterest ซึ่งถูกคู่กรณีอย่าง Dreamstime ออกมาโวยแทน “ช่างภาพ” ว่าผู้ใช้ของ Pinterest ไม่ไห้เครดิตแก่เจ้าของภาพโดยอ้างเรื่องลิขสิทธิ์ (copyright) รายละเอียดเป็นอย่างไรตามไปดูกัน
เรื่องราวเริ่มต้นมาจาก Noelle Fedrico ซีเอฟโอของบริษัท Dreamstime ซึ่งให้บริการเว็บไซต์คลังภาพหรือ stock photo ที่มีผู้ใช้งานกว่า 5 ล้านคน โดยซีเอฟโอ Dreamstime วิจารณ์ Pinterest ผ่านหน้าเว็บบอร์ดเมื่อช่วงกลางเดือนพฤษภาคม พร้อมกับช่างภาพกว่าร้อยคนที่ออกมาเรียกร้องว่าภาพของตนที่ใส่ลายน้ำเอาไว้ ถูกแชร์ผ่าน Pinterest โดยที่ไม่สามารถลิงก์กลับมายังหน้าเพจเจ้าของภาพได้
หลังจากสืบหาสาเหตุ ก็พบว่า Pinterest เปิดให้ผู้ใช้สามารถใส่ URL อะไรก็ได้ให้กับรูปที่มีลายน้ำ เมื่อถูกประท้วงเช่นนี้ Pinterest จึงแก้ปัญหาโดยการเสนอชุดคำสั่งให้กับผู้ดูแลเว็บไซต์หรือ Web admin เพื่อใช้สำหรับปฎิเสธการ Pin แต่ทุกคนต่างก็เห็นตรงกันว่าทางออกที่ดีที่สุดคือแทนที่จะห้าม pin เราควรให้เครดิตแก่เจ้าของภาพที่เราเอามาใช้อย่างถูกต้อง
Pinterest จึงเริ่มโครงการอ้างอิงแหล่งที่มาของภาพขึ้นมา ซึ่งเริ่มเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาโดยจับมือกับ Flickr, YouTube, Behance และ vimeo ต่อด้วย Etsy, Kickstarter, Slideshare และ SoundCloud ในเดือนมิถุนายน โดยคอนเทนต์ที่มาจากเว็บพันธมิตรจะมีข้อความอ้างถึงและลิงก์ปรากฏด้านล่าง ซึ่งจะสามารถลิงก์กลับไปยังหน้าเพจของเจ้าของคอนเทนต์นั้น
หลังจากที่ตกลงเรื่องปัญหาลิขสิทธิ์กับเว็บไซต์หลายแห่งได้ลงตัว ก็ถึงคิวของ Dreamstime เสียที โดยข้อตกลงคือจะมีการแสดงข้อความอ้างถึงเว็บไซต์ Dreamtimes ขึ้นมาใต้ภาพ และสามารถลิงก์กลับไปที่หน้า Dreamstime ได้ แต่ยังมีเสียงบ่นอยู่บ้างเพราะเมื่อคลิกที่ตัวรูปภาพ มันก็ยังสามารถลิงก์ไปที่อื่นได้อยู่ดี
จุดนี้โฆษกของ Pinterest ยืนยันว่าไม่สามารถควบคุมได้ โดยบอกว่า “ถ้าจะมีใครสักคนเซฟรูปจากอินเตอร์เนตเพื่อมาลงหน้าบล็อกตัวเอง” โดยเครือข่ายสังคมดาวรุ่งบอกว่าความเสรีนี้คือข้อจำกัดของอินเทอร์เน็ต
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังคงมีหลายเว็บไซต์ที่ยังไม่ตอบรับเข้าร่วมโครงการนี้ของ Pinterest โดยเว็บคู่แข่งของ Dreamstime อย่าง Shutterstock, istockphoto หรือ GettyImages ยังคงใช้วิธีใส่ลายน้ำไว้ด้านล่างเท่านั้น ซึ่ง Pinterest ยอมรับว่าขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างเจรจากับผู้ให้บริการหลายแห่ง แต่ยังไม่ได้ข้อสรุป
ก็ต้องดูต่อไป ว่าถ้าการ “Pin” เริ่มทำเงินได้เมื่อไหร่ พวกเขาจะเปลี่ยนใจหรือเปล่า
ที่มา:?Techcrunch