ตัวเลขใน Infographic วันนี้จะทำให้ทุกอ้าปากค้าง ไม่ว่าจะเม็ดเงินซื้อสินค้าและบริการของชาวอเมริกันบนอุปกรณ์พกพาที่คาดว่าจะแตะ 1.19 แสนล้านเหรียญสหรัฐในปี 2015 หรืออีก 2 ปีข้างหน้า รวมถึงยอดขายสินค้าปลีกบนร้านออนไลน์อเมริกันที่คาดว่าจะมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 3.7 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2017
ธุรกิจออนไลน์ หรือ ธุรกิจ E-Commerce ที่เราคุ้ยเคยกันเป็นอย่างดีนั้น กลายเป็นรูปแบบในการทำธุรกิจที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายไปทั่วโลกมาตลอดหลายปีที่ผ่านมาและดูเหมือนว่าจะไม่มีทีท่าลดลงแม้แต่น้อย ซึ่งวันนี้มีบทความจากเว็บไซต์ Nationalpositions.com ที่จะมานำเสนอสถิติเกี่ยวกับธุรกิจออนไลน์ในปัจจุบันของสหรัฐฯเพื่อสะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มการทำธุรกิจ E-Commerce และพฤติกรรมของผู้บริโภคในปัจจุบันได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
จากผลการสำรวจของเว็บไซต์ Nationalpositions.com ระบุว่า ในปีนี้ (2013) ยอดขายสินค้าปลีกออนไลน์ในสหรัฐฯมีมูลค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 262,000 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว (2012) อยู่ราว 13% ส่วนอนาคตในปี 2017 หรืออีกเพียงแค่ 4 ปีข้างหน้านี้คาดว่า สหรัฐฯจะมียอดขายสินค้าปลีกออนไลน์ทำสถิติเป็นประวัติการณ์สูงถึง 370,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และยิ่งไปกว่านั้นผลการสำรวจยังพบว่า ธุรกิจร้านค้า (Brick and Mortar) ซึ่งเป็นรูปแบบการซื้อสินค้าในรูปแบบเดิม เริ่มหันมาให้ความสนใจในการทำธุรกิจออนไลน์เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภคเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่องอีกด้วยเช่นกัน
ปัจจุบันช่องทางที่เรียกได้ว่ากำลังมาแรงและมีอิทธิพลสำคัญอย่างมากต่อธุรกิจออนไลน์ในปัจจุบัน คือ อุปกรณ์เคลื่อนที่ประเภทต่างๆไม่ว่าจะเป็น โทรศัพท์มือถือและแท็บเล็ต ซึ่งอุปกรณ์เคลื่อนที่เหล่านี้เป็นการเปิดช่องทางและเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงการทำ E-Commerce ได้ง่ายยิ่งขึ้น โดยผลการสำรวจพบว่าในปี 2012 ที่ผ่านมา มูลค่าการซื้อสินค้าออนไลน์บนอุปกรณ์เคลื่อนที่ในสหรัฐฯคิดเป็นสัดส่วนอยู่ที่ 12% ของมูลค่าการซื้อสินค้าออนไลน์ทั้งหมด และมีการคาดการณ์ว่าในปี 2015 การซื้อสินค้าผ่านทางโทรศัพท์มือถือเพียงช่องทางเดียวจะมีมูลค่าสูงถึง 119,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
และนอกจากอุปกรณ์เคลื่อนที่ที่มีอิทธิพลต่อธุรกิจ E-Commerce แล้วอีกปัจจัยสำคัญที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ โซเชียลมีเดีย ซึ่งผลการสำรวจพบว่า กว่า 20% ของมูลค่าการซื้อสินค้าออนไลน์เป็นผลมาจากอิทธิพลของการใช้งานโซเชียลมีเดีย นอกจากนี้ในปี 2013 กว่า 65% ของนักการตลาดยังมีการเพิ่มเงินลงทุนเพื่อทำโฆษณาบนโซเชียลมีเดีย (Social Media Ads) เพิ่มมากขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่เน้นการลงทุนไปที่โซเชียลมีเดียอย่าง Linkedin มาก่อนเป็นอันดับแรก โดยมีสัดส่วนสูงสุดอยู่ที่ 83%, รองลงมาเป็น Facebook และ Twitter (80%), Youtube (61%), Google+ (39%) และ Pinterest (26%)
และสุดท้ายนี้ยังมีกลยุทธ์มานำเสนอเพื่อเป็นแนวทางในการใช้งานโซเชียลมีเดียให้เอื้อต่อการทำธุรกิจออนไลน์ทั้งหมดรวม 5 ข้อประกอบด้วย การทำความเข้าใจถึงจุดประสงค์ในการใช้งานโซเชียลมีเดียของกลุ่มผู้บริโภค, หมั่นสร้างความสัมพันธ์กับกลุ่มคนที่มีอิทธิหรือมีชื่อเสียงบนโซเชียลมีเดีย, นำเสนอข้อมูลที่สามารถแชร์หรือบอกต่อได้, เข้าร่วมเพจหรือเข้าร่วมกลุ่มที่มีผู้ใช้งานเป็นจำนวนมาก และมีการสื่อสารพูดคุยกับกลุ่มลูกค้าและผู้บริโภคอย่างเป็นกันเอง
ที่มา: Nationalpositions.com