Site icon Thumbsup

เคล็ดลับ 10 ข้อในการทำ E-mail Marketing (Infographic)

 

 

บทความที่นำเสนอในวันนี้มาจากเว็บไซต์ Thomsonlocal.com ที่เป็นการแนะนำถึงเคล็ดลับในการทำตลาดผ่านอีเมล (E-mail Marketing) รวม 10 ข้อ เพื่อเป็นแนวทางสำหรับแบรนด์ต่างๆ ที่สนใจ E-mail marketing สามารถนำไปปรับใช้ในการทำการตลาดให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยเคล็ดลับทั้ง 10 ข้อประกอบด้วย

1. มีการกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน
ขั้นตอนแรกในการทำ E-mail marketing ให้ประสบความสำเร็จได้นั้น ต้องมีการกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน เพื่อป้องกันการไขว้เขวที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต จริงๆ การทำอะไรก็ต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจน ในที่นี้ยกตัวอย่างง่ายๆ ว่าถ้าเรากำหนดเป้าหมายชัดๆ ว่าต้องการทำ Email marketing เพื่อสร้างยอดขายให้กับสินค้าที่ร้านเรา เราก็ควรจะเลือกส่งอีเมลไปหากลุ่มลูกค้าเก่าที่อาจสนใจผลิตภัณฑ์แบรนด์ของเราอยู่แล้ว พาดหัวอีเมลให้น่าสนใจ เช่นเสนอโปรโมชั่นลด 30% สำหรับลูกค้าเก่า ก็จะช่วยได้ แต่ถ้าเราไม่ตั้งเป้าหมายให้ดี ส่งอีเมลหว่านๆ หาคนที่เรามีทั้งหมด มีลิสต์อีเมลเท่าไหร่ส่งมันดะ โดยไม่สนใจเลยว่าจุดประสงค์อะไร ก็จะได้ผลน้อยแบบไม่ค่อยคุ้มค่า การกำหนดเป้าหมายจึงเป็นเรื่องสำคัญ

2. แบ่งกลุ่มผู้รับอีเมล
ในการส่งอีเมล หากมีการแบ่งกลุ่มผู้รับจะช่วยให้การส่งอีเมลสามารถสื่อสารได้ตรงจุด และตรงกับความต้องการของผู้รับเพิ่มมากขึ้น โดยใช้เกณฑ์ในการแบ่งกลุ่ม เช่น เพศ, อายุ, ประวัติการซื้อสินค้า, การมีส่วนร่วมกับอีเมล (E-mail Engagement) และการใช้งานเว็บไซต์ แต่จุดสำคัญคือ คุณต้องมีคนคอยแบ่งกลุ่มและอัพเดตดาต้าเบสนี้ตลอดเวลา ไม่งั้นผู้รับอีเมลเปลี่ยนสถานะไปเท่าไหร่ก็ไม่รู้ก็มี อารมณ์เหมือนกับเราได้รับอีเมลขายสินค้าที่อาจไม่เกี่ยวข้องกับความสนใจของเราเลยรู้สึกรำคาญ

 3. ใช้หัวข้อที่กระตุ้นและดึงดูดความสนใจของผู้รับ
หัวข้อตรงพาดหัวอีเมล (Heading) นับว่าเป็นสิ่งแรกที่ผู้รับพบเห็นหลังจากได้รับอีเมล ดังนั้นควรมีการตั้งหัวข้อที่สามารถสื่อสารได้อย่างชัดเจน เข้าใจง่าย และหลีกเลี่ยงข้อความที่ไร้สาระ อีกทั้งนี้ยังควรมีการกระตุ้นความสนใจของผู้รับ เช่น การใช้การตั้งคำถาม เพื่อเป็นการกระตุ้นให้ผู้รับอยากเปิดอ่านมากขึ้น อีกทั้งยังควรมีความยาวที่เหมาะสม โดยผลการสำรวจพบว่า ความยาวของหัวข้อควรมีความยาวประมาณ 28-39 ตัวอักษร (ภาษาอังกฤษ) ซึ่งเป็นความยาวเฉลี่ยที่มีอัตราการคลิกผ่าน (Click through Rate หรือ CTR) สูงสุด

 4. เลือกวันและเวลาที่เหมาะสมในการส่งอีเมล
จากผลสำรวจพบว่า วันพุธและวันพฤหัส รวมถึงช่วงเวลาประมาณ 10 โมง เป็นช่วงที่มีอัตราการเปิดอ่านสูงสุด นอกจากนี้แบรนด์ยังควรมีการทดสอบว่า วันและช่วงเวลาไหนมีความเหมาะสมที่สุดด้วยเช่นกัน เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการส่งอีเมลให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น แต่อย่างไรก็ตามนี่เป็นตัวอย่างของเมืองนอกนะครับ เมืองไทยต้องมาดูกันอีกทีว่าเหมาะเมื่อไหร่

 5. ระบุถึงที่มาของอีเมลอย่างชัดเจน
บนอีเมลควรมีการระบุและแสดงตัวตนของแบรนด์อย่างชัดเจน เช่น ระบุชื่อแบรนด์และอีเมลที่เป็นที่รู้จัก, การใช้โลโก้และสีที่เป็นสัญลักษณ์ของแบรนด์ รวมไปถึงการใช้รูปแบบที่สะท้อนถึงเว็บไซต์ของแบรนด์

 6. มีรูปแบบในการนำเสนอมีความเหมาะสมต่อการใช้งาน
รูปแบบในการใช้งานที่มีความเหมาะสม ซึ่งช่วยสนับสนุนและกระตุ้นการมีส่วนร่วมของผู้รับอีเมลเพิ่มมากขึ้น และหากต้องการใช้รูปภาพมาเป็นส่วนประกอบในการนำเสนอ ควรนำเทคนิค ALT Text (Alternative Text) มาช่วยในการอธิบายความหมายของรูปภาพ เพื่อป้องกันความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นในกรณีที่รูปภาพไม่สามารถโหลดหรือแสดงได้ นึกภาพดูว่าเวลาเราเปิดอีเมลมาแล้วปรากฏว่าอีเมลมันบล็อคไม่แสดงภาพขึ้นมา แต่เรายังพอเห็นคำอธิบายภาพ อย่างภาพด้านล่างนี่ล่ะครับ


7. มีการกระตุ้นการมีส่วนร่วมของผู้บริโภคอย่างชัดเจน
การกระตุ้นการมีส่วนร่วม (Call to action) ควรมีความเป็นธรรมชาติและอยู่ในระดับที่เหมาะสม ไม่มากหรือน้อยเกินไป โดยเคล็ดลับเสริมที่ช่วยกระตุ้นการมีส่วนร่วมของผู้บริโภค คือ การใช้คำศัพท์เพื่อกระตุ้นทำให้ผู้บริโภครู้สึกอยากมีส่วนร่วม รวมถึงเลือกใช้ตัวอักษรที่มีความโดดเด่น เช่น ตัวหนา หรือตัวอักษรที่มีสีสันตัดกันเพื่อดึงดูดความสนใจ

 8. สร้าง Landing Page ให้มีประสิทธิภาพ
รูปแบบของ Landing Page ที่มีประสิทธิภาพนั้น ประกอบด้วย รูปแบบในการนำเสนอที่มีความน่าสนใจ, ใช้งานง่าย และมีช่องทางที่ชัดเจนในการกระตุ้นการมีส่วนร่วม นอกจากนี้ Landing Page ยังควรมีรูปแบบที่หลายหลาย เปลี่ยนแปลงไปตามแคมเปญในการทำการตลาดในแต่ละช่วง โดยผลการสำรวจพบว่า แบรนด์ที่มี Landing Page มากกว่า 30 หน้าขึ้นไป จะมีจำนวน Lead สูงกว่าแบรนด์ที่มี Landing Page ราว 10 หน้าถึง 7 เท่า

 9. มีการตั้งค่าการติดตาม
ควรมีการติดตามและเก็บสถิติในการทำ E-mail marketing แต่ละช่วง เช่น อัตราการคลิกบนอีเมล, จำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์, อัตราการซื้อสินค้าบนเว็บไซต์ เพื่อนำข้อมูลทั้งหมดมาใช้ในการวิเคราะห์ผลลัพธ์ในการทำการตลาด

 10. มีการทำ Split Testing หรือ A/B Testing
Split Testing หรือ A/B Testing เป็นการทดสอบสิ่งที่เราตั้งเป้าเอาไว้โดยแบ่งเป็น 2 รูปแบบแล้วเอาผลลัพธ์มาเปรียบเทียบกันซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ออกมานั้นจะเป็นรูปแบบที่สะท้อนถึงความเป็นจริง และตรงกับความต้องการของผู้บริโภคมากที่สุด โดยผลการสำรวจระบุว่า แบรนด์ที่มีการทำ A/B Testing จะมีอัตราการเปิดอ่านสูงกว่าปกติอยู่ที่ 11% รวมไปถึงอัตราการคลิกผ่านที่เพิ่มสูงกว่าปกติเช่นกันราว 17%

สนใจดู Infographic เต็มๆ ด้านล่างนี้ได้เลยครับ

 

ที่มา: Thomson Local