เป็นครั้งแรกในรอบ 20 ปีที่อัตราแลกเปลี่ยนระหว่างยูโร (EUR) และดอลลาร์สหรัฐ (USD) จากเงินยูโรอ่อนค่าลงไปที่ 1.007 ยูโรต่อดอลลาร์สหรัฐ ลดลงเกือบ 15% ตั้งแต่ต้นปี หลังเผชิญอัตราเงินเฟ้อที่สูงและความไม่แน่นอนของการจัดหาพลังงานทดแทนจากรัสเซีย
สหภาพยุโรปได้รับก๊าซประมาณ 40% ผ่านท่อส่งน้ำมันของรัสเซีย เมื่อเกิดสงครามจึงลดการพึ่งพาน้ำมันและก๊าสจากรัสเซีย ในทางกลับกันรัสเซียก็จำกัดปริมาณก๊าซไปยังยุโรปเช่นกัน
ล่าสุดเยอรมนีถูกรัสเซียจำกัดปริมาณก๊าซลงถึง 60% ส่งผลให้รัฐบาลต้องประกาศสภาวะฉุกเฉินในการปันส่วนพลังงาน โดยจำกัดระบบทำความร้อนในตอนกลางคืน เพื่อนำไปขับเคลื่อนให้กับเศรษฐกิจส่วนสำคัญประเทศ
เมื่อวิกฤตด้านพลังงานมาพร้อมกับสภาวะถดถอยของเศรษฐกิจ ต้นทุนด้านพลังงานที่สูงขึ้นจะส่งผลโดยตรงกับค่าครองชีพและเงินเฟ้อ ความกังวลบีบให้ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ต้องเร่งกระชับนโยบายเพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อ
นักวิเคราะห์กล่าวว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเชิงรุกโดยธนาคารกลางยุโรป รวมถึงธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ประกอบกับภาวะชะลอตัวทางเศรษฐกิจจะกดดันเงินยูโร แต่เงินดอลลาร์สหรัฐจะกลายเป็นแหล่งพักพิงที่มีความปลอดภัย
และคาดว่าสถานการณ์ของเงินยูโรอาจถึงจุดต่ำสุงที่ 0.95 ดอลลาร์สหรัฐ เป็นข่าวดีสำหรับชาวอเมริกันที่มีแผนจะไปพักร้อนที่แถบยุโรป แต่นั่นอาจเป็นข่าวร้ายสำหรับเสถียรภาพเศรษฐกิจของโลก
ที่มา