เมื่อพูดถึงอินทัช โฮลดิ้งส์ หลายคนคงรู้จักกันดีว่าเป็นผู้นำด้านการบริหารสินทรัพย์ในธุรกิจโทรคมนาคม สื่อ เทคโนโลยีสารสนเทศ และดิจิตอลคอนเทนต์ ซึ่งถือหุ้นหลักทั้งใน บริษัท เอไอเอส ไทยคม ซีเอส ล็อกซอินโฟ และอื่นๆ อีกมากมาย และล่าสุดอินทัช เปิดตัวนายทัพคนใหม่ คุณฟิลิป เชียง ชอง แทน วันนี้กองบรรณาธิการ มีโอกาสได้พูดคุยกับผู้บริหารท่านนี้โดยตรง ไปทำความรู้จักกับผู้บริหารท่านนี้มากขึ้น และก้าวต่อไปของอินทัช ภายใต้การนำทัพของผู้บริหารท่านนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป
กว่า 27 ปีในธุรกิจบริษัทข้ามชาติในไทยและสหรัฐฯ
เมื่อเอ่ยถึงชื่อคุณ ฟิลิป ในแวดวงธุรกิจสื่อสารและไฟแนนซ์ ต้องบอกว่าชื่อนี้หลายคนคงคุ้นเคย เพราะคลุกคลีอยู่ในบริษัทข้ามชาติในไทยและสหรัฐฯ มากกว่า 27 ปีเต็ม เช่น บริษัท เอทีแอนที เบลล์แล็ปส์ และ จีอี แคปปิตอล ประเทศไทย
หนึ่งในบทบาทสำคัญคือการควบรวมและขยายธุรกิจบัตรเครดิต สินเชื่อบุคคลรายย่อย และธุรกิจสินเชื่อรถยนต์ หลังจากที่ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ได้เข้าซื้อกิจการจากจีอี เอไอจี และเอชเอสบีซี โดยเขาดำรงตำแหน่ง Head of Retail and Consumer Banking ดูแลรับผิดชอบธุรกิจธนาคารเพื่อลูกค้ารายย่อยและคอนซูเมอร์ นอกจากนี้ยังดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการบริหารในคณะกรรมการธนาคาร และเป็นประธานคณะกรรมการบริษัทย่อยในกลุ่มธุรกิจของธนาคารกรุงศรีอยุธยา อีกรวม 6 แห่ง และปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน)
อินทัชในปัจจุบัน กับสิ่งที่คุณฟิลิปเข้ามารับผิดชอบ
สำหรับผมการดูแลบริษัทใน Portfolio เพื่อให้สามารถเติบโตไปด้วยกันเป็นเรื่องสำคัญ การดูแลบริษัทใน Portfolio นั้นถือเป็น 40-50% ของงานที่ทำอยู่ โดยเฉพาะกับบริษัท เอไอเอส ซึ่งตอนนี้ลงทุนไปใน 4G ทั้ง 1800 MHz และ 900 MHz ต้องทำให้แน่ใจว่าการลงทุนดังกล่าวนั้นคุ้มค่าในการประมูลความถี่ และได้ประโยชน์คุ้มค่าในระยะยาว
ส่วนที่ 2 ที่จะมาดูคือการเพิ่มโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ แน่นอนว่าธุรกิจหลักอย่าง เอไอเอส ก็ยังต้องเติบโตต่อไป แต่เราก็มองหาธุรกิจเสริมทัพมากขึ้น อาทิ High Shopping ที่ดำเนินการมาประมาณ 6 เดือนแล้ว และยังมีการดูแลในเรื่องของการลงทุนในผู้ประกอบการใหม่ (Startup) และไม่ใช่เพียงแค่การลงทุน แต่เราจะช่วยผู้ประกอบการในเชิงการตลาดและเครือข่ายทางธุรกิจ โดย Synergy กับบริษัทต่างๆ ในเครือ
และส่วนที่ 3 ที่ทำคือ เนื่องจากเราเป็นบริษัทไทย ดังนั้นเรามุ่งเน้นที่จะพัฒนาเพื่อทำให้คนไทยและประเทศไทยเราดีขึ้น ด้วยการทำกิจกรรม CSR เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในสังคมไทยให้เติบโตไปพร้อมๆ กับสังคมได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน
ธุรกิจหลักที่เราดำเนินอยู่ คือ ธุรกิจด้านการสื่อสาร ซึ่งเป็นโครงข่ายพื้นฐานสำคัญที่ทำให้คนได้เชื่อมโยง ใกล้ชิดกันมากขึ้น ครั้งหนึ่งผมจำได้เลยว่าตอนที่มาเมืองไทยใหม่ๆ เมื่อหลายสิบปีก่อน ผมหิ้วมือถือของอเมริกาเข้ามา ผมรู้สึกว่าเป็นอะไรที่ดูดี และเท่มากในเวลานั้น แม้โทรศัพท์จะใหม่ แต่ด้วยคลื่นโทรศัพท์เมืองไทยตอนนั้นใช้คนละคลื่นความถี่กัน ถึงจะดูดีแค่ไหนก็ใช้ไม่ได้อยู่ดี นับจากวันนั้นมาถึงวันนี้ เรียกว่าต่างกันเยอะมากครับ เอไอเอสอยู่คู่วงการธุรกิจนี้มานาน และภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนวงการโทรคมนาคมไทยให้ก้าวไปด้วยกัน ผมตั้งเป้าหมายเอาไว้ว่า เราจะต้องดำเนินธุรกิจด้วยสินค้าที่ช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตคนให้ดีขึ้น เราจะพัฒนาโครงข่ายให้เข้าถึงทุกครัวเรือนของไทยและได้การสื่อสารที่เร็วขึ้นในราคาที่ถูกลง
ผมถือหลักการบริหาร 3 อย่างคือ การสื่อสารในองค์กรต้องชัดเจน และเน้นย้ำว่า ต้องมองจากมุมลูกค้ากลับเข้ามาเป็นหลัก ไม่ใช่มองจากมุมของบริษัทออกไป และที่สำคัญไม่หยุดยั้งที่จะพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
คุณฟิลิปคิดเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้ เมื่อวันที่ผู้ให้บริการโทรคมนาคม ถูกมองว่าเป็นเพียงโครงข่าย Infrastructure แต่บริการเสริม Valued Added Service ต่างๆ ถูกผู้ให้บริการบนโลกออนไลน์ในปัจจุบันเข้ามาเปลี่ยนแปลงวงการ
ผมมองว่ามันเกิดขึ้นทุกยุคทุกสมัย ทุกอย่างเปลี่ยนถ่ายโอนย้าย หรือถูก Transform ไปในรูปแบบต่างๆ มันเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา แต่ช่วงหลังๆ เราเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเพราะมีออนไลน์เข้ามา อย่างโทรศัพท์แต่ก่อนนาทีนึงๆ ก็แพง ตอนนี้ก็ปรับลดลงมาเยอะ มีเทคโนโลยีใหม่ที่ทำให้ต้นทุนถูกลง พฤติกรรมคนก็เปลี่ยนการใช้งานจาก Voice Call เป็น OTT Voice ผ่านเครือข่ายเดต้า เราในฐานะผู้ให้บริการก็ปรับตัวตามเทคโนโลยี เป็น Data business และนำจุดแข็งที่เรามีผสมผสานกับจุดแข็งบริการต่างๆ ในมุมพาร์ทเนอร์ หรือการลงทุน เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายหลัก คือเน้นการนำเสนอคุณค่าที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า
อินทัช เข้ามามีส่วนสนับสนุนนโยบายภาครัฐ และเศรษฐกิจของประเทศ Digital Economy อย่างไร
อย่างที่กล่าวไว้ครับ เราดำเนินธุรกิจด้านโทรคมนาคม การสนับสนุนด้วยโครงข่าย Infrastructure คือส่วนหนึ่งที่เราทำ ไม่ว่าจะด้วยโครงข่ายโทรศัพท์มือถือ หรือดาวเทียม เพื่อมาช่วยบริการต่างๆ ของภาครัฐที่ต้องการ Bandwidth ที่สูงขึ้น ผมจึงเชื่อมั่นว่าธุรกิจของกลุ่มอินทัช จะเป็นส่วนสำคัญในการส่งเสริมและสนับสนุนอนาคตของสังคมไทย และเราก็มีความมุ่งมั่นในการสนับสนุนแผนงานของภาครัฐเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ให้ลูกค้าและคนไทยทั้งประเทศสามารถเข้าถึง เชื่อมต่อ และใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิตอลอย่างทั่วถึง
นอกจากนี้ วัตถุประสงค์หลักที่เราก่อตั้ง อินเว้นท์ (InVent) ขึ้นมา ก็เพื่อสนับสนุนและส่งเสริมให้เกิดสตาร์ทอัพรายใหม่ๆในตลาด เกิดการพัฒนาผลิตภัณฑ์ นวัตกรรม และบริการใหม่ในประเทศไทย ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่ให้ความสำคัญกับธุรกิจ Startup ให้เกิดการขยายธุรกิจและการสร้างตลาดใหม่ทั้งในและต่างประเทศ รวมไปถึงการพัฒนาบริการใหม่ๆ อย่างไม่หยุดยั้ง โดยมีทีมงานที่เราตั้งขึ้นมาเพื่อค้นคว้าและวิจัยโดยเฉพาะทางด้าน Content distribution
ในแง่การแข่งขันกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคนี้ ไทยเราอยู่ ณ จุดไหนในเชิงของเทคโนโลยี
บ้านเราถ้าไปดูกันดีๆ ผู้ใช้สมาร์ทโฟนไม่ได้น้อยเลยนะครับและเล่นเน็ตความเร็วสูงกันทั้งนั้น โครงข่ายในเมืองและหลายจังหวัดก็ดีมาก ขึ้นเหนือลงใต้มีหมด ในขณะที่กลุ่มผู้ใช้รุ่น Low end ก็ยังคงมีอยู่ และกำลังเป็นช่วงเปลี่ยนถ่ายเข้าสู่เน็ตความเร็วสูง ซึ่งผมมองว่าดีกว่าอีกหลายประเทศ อย่างอินโดนีเซีย หรือ ฟิลิปปินส์ยังมีข้อจำกัดในเรื่องโครงข่าย แต่บ้านเรายังมีตลาดให้เติบโตได้อีกระยะยาว
ก้าวต่อไปของอินทัช
เรากำลังดำเนินการเปลี่ยนแปลงอะไรหลายๆ อย่างครับ แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยตอนนี้ได้ทั้งหมด ในส่วนของการลงทุนในบริษัทผู้ประกอบการใหม่นั้น มีคุยกับหลายบริษัท เรามองเป็นธุรกิจและเราทำอย่างจริงจังครับ ไม่ได้เล็งเห็นว่าเป็นเทรนด์ ล่าสุดเราลงทุนใน Wongnai ผู้พัฒนาเว็บไซต์และแอพพลิเคชั่นรีวิวร้านอาหารและไลฟ์สไตล์อันดับหนึ่งของไทย ส่วนเป้าหมายที่สำคัญที่สุดของเรา คือ ดูแลทั้งลูกค้า ผู้ถือหุ้น พาร์ทเนอร์ สังคมและพนักงานของเราทุกคนได้ก้าวและเติบโตไปด้วยกันครับ