ในยุคที่สินค้าราคาแพงขึ้น และรายได้กลับคงที่หรือลดลง แบรนด์จะทำยังไงให้ลูกค้าซื้อสินค้าแบบเต็มใจจะจ่าย ถึงแม้สินค้าจะราคาแพง
คำว่าราคาแพงในที่นี้ เป็นได้ทั้ง “สินค้าที่อัพราคาจากเดิม” หรือ “สินค้าราคาแพงอยู่แล้ว” หากเทียบกับสินค้าประเภทเดียวกัน
มาดูกันค่ะจะมีวิธีอะไรบ้าง บอกเลยว่าทุกธุรกิจสามารถนำไปปรับใช้กันได้ แต่ต้องใช้ข้อมูลของธุรกิจตนเองมาวิเคราะห์ควบคู่นะคะ
จ่ายด้วยบัตรเครดิต
ถึงแม้เศรษฐกิจไม่ดี รายได้เฉลี่ยของประชากรในประเทศไทยจะน้อยลง แต่ถ้าเทียบกับยอดบัตรเครดิตบอกเลยว่าตรงกันข้าม หากดูที่พฤติกรรมคนไทยแล้ว เมื่อมีตัวช่วยให้การเงินคล่องขึ้น คนจะรีบมุ่งไปที่สิ่งนั้นด้วยความรวดเร็ว
และตอนนี้สิทธิพิเศษของบัตรเครดิตในปัจจุบันแทบไม่ต้องทำอะไรเลย ทำให้บัตรเครดิตเป็นช่องทางการจ่ายเงินที่จะช่วยกระตุ้นให้การจ่ายเงินของลูกค้าง่ายขึ้น และยิ่งเป็นสินค้าราคาแพงแล้ว ยิ่งควรมีระบบบัตรเครดิตเข้ามาในระบบ จะทำให้การตัดสินใจจ่ายของลูกค้าเพิ่มขึ้น
ผ่อนสินค้าได้
จากข้อบนเป็นประเด็นบัตรเครดิต ถัดมาก็คงเป็นสิทธิประโยชน์ในการผ่อน ตอนนี้แทบจะทุกธุรกิจเลือกบริการผ่อน 0% เข้ามาใช้ เพราะคนไม่ชอบจ่ายหนักเป็นก้อน เลือกจะผ่อนเล็กๆ รายเดือนจะดีกว่า
ซึ่งสังเกตได้ชัดคือพวกอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น TV โทรศัพท์ Notebook และวิธีนี้ทำให้สินค้าอัพราคาแพงขึ้นได้อีกด้วยเพราะคนจะโฟกัสที่เงินผ่อนต่อเดือนมากกว่าก้อนเต็ม
สร้างโปรโมชั่นของแถม
ถ้าทำตามด้านบนยังไม่ได้ผลก็ต้องกระตุ้นด้วยของแถมกันแล้วหละ ซึ่งจริงๆ โปรของแถมก็เป็นวิธีเบสิคแต่ตอนนี้จะเป็นโปรที่แรงกว่าเดิม เช่น ถ้าใครซื้อโทรศัพท์ 1 เครื่องจะได้รับทั้ง ลำโพงบลูทูธ ขาตั้งกล้อง เสื้อ กระเป๋าผ้า กระเป๋าเดินทาง ของแถมจัดกันมาแบบจุกๆ
หรือถ้าเป็นบัตรเครดิต ก็จะเป็นการใช้ครบเท่านี้แลกตั๋วเครื่องบินหรือที่พัก เป็นความพิเศษที่ Top Up ฝ่าดงเศรษฐกิจป่วยกันเลยทีเดียว
มีเครดิตเงินคืน
ยิ่งเงินหามายาก ทุกการใช้เงินควรจะได้อะไรกลับมา อย่างเครดิตเงินคืนก็เป็นสิ่งที่นักช้อปหลายคนโฟกัส ยิ่งสินค้าราคาแพงได้ Cash back กลับมาเยอะมาก บางรายการได้ Cash back กลับมาหลักพันเลยก็มี ทำให้เป็นอีกกลยุทธิ์ที่หลายแบรนด์ราคาแพงส่วนใหญ่ นำมาเป็นกลยุทธิ์เรียกลูกค้าเข้าร้าน
สร้าง Branding ให้กับตัวผู้ซื้อ
วิธีนี้ไม่ใช่เรื่องโปรโมชั่น แต่เป็นเรื่องการสร้าง Branding ให้กับตัวผู้ซื้อ เพราะส่วนใหญ่ที่ประสบความสำเร็จกับกลยุทธิ์นี้จะสามารถตั้งราคาสินค้าแพงได้ (ไม่เสมอไป) เช่น กระเป๋าแบรนด์เนม, Apple หรือรถยนต์ยี่ห้อแพงต่างๆ
จริงๆ แล้วก็ไม่ได้แปลกอะไรเพราะสินค้าราคาแพงได้เกิดจากมีความต้องการในตลาดที่มาก ไม่ใช่ผู้บริโภคทุกคนเข้าถึงได้ จึงมีอำนาจในการตั้งราคา
ทั้งหมดนี้เป็นกลยุทธิ์เบื้องต้นที่แบรนด์ราคาแพงส่วนใหญ่เลือกใช้ เอาจริงถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว แต่ตอนนี้ประเทศไทยเรามีขายออนไลน์แบบไม่มีหน้าร้านค่อนข้างเยอะ
ทำให้การสร้างโปรโมชั่นก็ค่อนข้างยาก เพราะมีแค่โพสต์กับยิงแอด เลยเสียเปรียบร้านที่มีหน้าร้านไป (แต่ได้เปรียบเรื่องภาระค่าใช้จ่ายต่อเดือน) หากแบรนด์ไหนนำไปปรับใช้แล้วมีฟีตแบ็คยังไง เข้ามาพูดคุยกันได้เลยนะคะ