การลงโฆษณาบน Facebook เป็นวิธีการทำโฆษณาที่หลายๆ ธุรกิจให้ความสนใจอย่างมาก เนื่องจากเป็นวิธีที่ทำให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ตามต้องการ ทั้งสามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายได้เองไม่ว่าจะเป็น อายุ เพศ พื้นที่ หรือความสนใจ บวกกับมีต้นทุนในการโฆษณาไม่สูง แต่การจะทำแคมเปญโฆษณาบน Facebook ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
ดังนั้นจึงเป็นที่มาของบทความ ‘ยิงโฆษณา Facebook ยังไงให้ปัง แนะเทคนิคที่นักการตลาดควรรู้’ มาให้ทุกคนได้นำไปปรับใช้กัน
กำหนดกลุ่มเป้าหมายชัดเจน
ก่อนจะเริ่มทำโฆษณา นักกการตลาดควรกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจนก่อน ต้องเข้าใจว่าลูกค้าของธุรกิจเป็นใครและต้องการอะไร เครื่องมือที่อยากแนะนำคือ Audience Insight ของ Facebook ที่จะทำให้ธุรกิจเข้าใจว่ากลุ่มที่ติดตามสินค้าและบริการของเราเป็นเพศไหน อายุเท่าไหร่ พื้นที่ไหน ซื้อของเวลาไหน และสนใจเรื่องอะไร
อีกแนวทางหนึ่งคือการเจาะจงกลุ่มเป้าหมายโดยการตั้งคำถาม เช่น
- ถ้าลูกค้าต้องการสินค้าและบริการนี้ ลูกค้าจะค้นหาคำว่าอะไร
- ถ้าลูกค้ามีความสนใจแบบนี้ จะกดไลค์ กดติดตามเพจแบบไหน
นอกจากนี้โฆษณาควรมีวัตถุประสงค์ว่าเพื่ออะไร เช่น ต้องการตั้งค่ากลุ่มเป้าหมายเพื่อสร้างการรับรู้ในแบรนด์เป็นที่รู้จัก (Awareness) หรือต้องการให้เกิดการซื้อ (Call-to-Action) เพื่อนำมาวิเคราะห์ ปรับแผนให้ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายมากขึ้น
เนื้อหาตรงกับกลุ่มเป้าหมาย
โฆษณาสินค้าและบริการจะขายได้หรือไม่ ปัจจัยหลักขึ้นอยู่กับว่าเนื้อหานั้นตรงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายหรือไม่ ทั้งการสื่อสารว่าที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า มีคำพูดเชิญชวนที่โดนๆ ที่ทำให้ลูกค้าสนใจในสินค้าและบิรการ หรือจะเป็นเนื้อหาที่เข้ากับไลฟสไตล์และไลฟ์สไตล์ ก็จะช่วยเสริมให้แคมเปญมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
งบประมาณและระยะเวลาที่เหมาะสม
การกำหนดงบประมาณให้เหมาะสมกับแคมเปญเช่น แคมเปญด่วนระยะสั้นต้องการให้คนเข้าถึงจำนวนมากอาจกำหนดงบที่ 1,000 – 1,500 บาทต่อวัน หรือถ้าเป็นแคมเปญระยะยาวอาจจะประมาณ 100 บาทต่อวัน เป็นต้น ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ของแคมเปญอีกที งบประมาณจึงเป็นส่วนสำคัญเพราะระบบของ Facebook จะประเมินวิเคราะห์ตามจำนวนงบประมาณ หากมีงบประมาณน้อยอาจทำให้ Ads ทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ดังนั้นเราจึงควรที่จะวางแผนงบประมาณให้เหมาะสม เพื่อที่การยิง Ads จะได้คุ้มค่ากับงบประมาณของเรา และมีประสิทธิภาพมากที่สุด
การวัดและประเมินผล
หลังจากโฆษณาไปแล้วจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำการวัดและประเมินผล เพื่อจะได้รู้ว่าแคมเปญโฆษณาได้ผลลัพธ์ตามจุดประสงค์ที่วางไว้หรือไม่ และตัวแคมเปญมีคุณภาพหรือไม่
ยกตัวอย่าง 4 ตัวชี้วัดใน Facebook
Cost per 1,000 Impression หรือ CPM คือการวัดจำนวนคนเข้าถึงต่องบประมาณ หากตัวเลขน้อย หมายความว่าเราประหยัดจำนวนเงินในการเข้าถึงคนจำนวนมาก ปัจจัยคือการกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่ไม่เจาะจงมากเกินไป (ยิ่งเจาะจงยิ่งเข้าถึงน้อย)
Clickthrough Rate หรือ CTR คือ จำนวนคนคลิกดูโฆษณาต่อจำนวนคนเห็นทั้งหมด ถ้าแคมเปญตรงกับกลุ่มเป้าหมายมากก็จะมีจำนวนการคลิกที่มากขึ้นตามไปด้วย
Cost per Click หรือ CPC คือ การวัดคุณภาพราคาต่อการคลิกเข้าดูโฆษณา ว่ามีคนสนใจโฆษณามากน้อยแค่ไหน หากมีจำนวนคลิกเข้ามาดูโฆษณามา ราคาต่อการคลิกควรจะน้อยลงตามไปด้วย
Relevance Score คือคะแนนความเกี่ยวข้องโดยรวมของแคมเปญโฆษณา ซึ่งสิง่ที่นำมาคำนวณคือ จำนวนการซ่อนโฆษณา, Website Click, อัตราการ Click ต่อจำนวนคนเห็น และEngagement หากแคมเปญเรามีประสิทธิภาพเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายมาก Relevance Score ก็จะสูงตามไปด้วย
อย่างไรก็ตาม การวางแคมเปญโฆษณาของแต่ละธุรกิจมีกลยุทธ์และกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกัน การกำหนดกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจน กำหนดงบประมาณและระยะเวลาที่เหมาะสม และสุดท้ายการลองผิดลองถูกจากการวัดและประเมินผลจะทำให้แคมเปญมีประสบความสำเร็จมากขึ้น
Macbook โน๊ตบุ๊คที่ลงตัวทั้งพกพาและการทำงาน คลิกเลย
อ้างอิง Marketingland, Bigcommerce