หลายๆ คนคงรู้แล้วว่า Facebook ไม่อนุญาตให้ส่งข้อความในแอปแล้ว แต่บังคับให้ไปดาวน์โหลด Facebook Messenger มาใช้แทน ไม่กี่วันผ่านไป Business Insider ออกมาบอกว่าผู้ใช้งานส่วนใหญ่ไม่ค่อยจะแฮปปี้กับแนวทางนี้ ดูได้จากการให้เรทติ้งใน iOS App Store ที่ได้มา 1 ดาวถ้วน จากผู้ใช้งานถึง 94% และรีวิวส่วนมากก็ไม่ค่อยจะดีนัก
การแสดงความไม่พอใจต่อ Facebook Messenger ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในอเมริกาเท่านั้น แต่มันเกิดขึ้นในหลายๆ ประเทศ จะเรียกว่า “ส่วนมาก” ก็ได้ เพราะดูจาก App Store ในทุกประเทศแล้ว เรทติ้งโดยเฉลี่ยก็ได้ไป 1-2 ดาวเท่านั้น
ทำไมผู้ใช้งานจึงไม่ชอบมัน? ถ้าไม่นับเรื่องการถูกบังคับให้ดาวน์โหลดอีกแอปมาใช้โดยไม่จำเป็นแล้ว ดูเหมือนว่าผู้ใช้งานส่วนมากมีความกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัวระหว่างผู้ใช้งานด้วยกัน ดังที่ Huffington Post เคยเขียนเรื่อง Permission ที่ผู้ใช้งานจะต้องยินยอมให้ Facebook Messenger มีสิทธิ์เข้ามาจัดการข้อมูลเหล่านี้เสียก่อนจึงจะใช้งานแอปพลิเคชั่นได้
- อนุญาตให้แอปเปลี่ยนจุดเชื่อมต่อ Network ได้
- อนุญาตให้แอปโทรออกไปยังหมายเลขปลายทางได้โดยอัตโนมัติ ไม่ต้องรอการคอนเฟิร์มจากผู้ใช้งาน ซึ่งอาจจะทำให้ถูกชาร์จค่าบริการเพิ่มโดยไม่รู้ตัว
- อนุญาตให้แอปส่งข้อความได้โดยไม่ต้องมีการคอนเฟิร์มจากผู้ใช้งานเช่นกัน
- อนุญาตให้แอปบันทึกเสียงได้ โดยไม่ต้องมีการคอนเฟิร์มจากผู้ใช้งาน
- อนุญาตให้แอปสามารถบันทึกภาพและวิดีโอด้วยกล้องถ่ายรุป โดยไม่ต้องผ่านการคอนเฟิร์มจากผู้ใช้งาน
- อนุญาตให้แอปสามารถอ่านบันทึกข้อมูลการใช้โทรศัพท์ (Log) ทั้งสายเข้าและสายที่โทรออก ซึ่งจะทำให้แอปสามารถบันทึกข้อมูลเหล่านี้และแชร์ออกไปได้โดยที่ผู้ใช้งานไม่รู้ตัว
- อนุญาตให้แอปสามารถอ่านข้อมูล contact ที่บันทึกเอาไว้ในโทรศัพท์ ไม่ว่าจะเป็นหมายเลขที่โทรออกบ่อยๆ หรืออีเมลที่ส่งออกบ่อยๆ หรือการสื่อสารที่เป็นส่วนตัวในรูปแบบอื่นๆ
- อนุญาตให้แอปสามารถเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวที่เก็บไว้ในสมาร์ตโฟน เช่น ชื่อ ข้อมูลการติดต่อ ซึ่งหมายความว่าแอปสามารถระบุตัวตนของผู้ใช้งานได้ และอาจจะส่งข้อมูลเหล่านี้ให้คนอื่นได้เช่นกัน
- อนุญาตให้แอปเข้าถึงการตั้งค่าฟีเจอร์ของสมาร์ตโฟน ซึ่งจะทำให้แอปสามารถระบุหมายเลขโทรศัพท์และหมายเลข ID ของอุปกรณ์ได้
- อนุญาตให้แอปเรียกดูรายการแอคเคาท์ต่างๆ ของผู้ใช้งาน ซึ่งอาจจะรวมไปถึงแอคเคาท์ที่ถูกสร้างด้วยแอปพลิเคชั่นอื่นๆ ที่มีอยู่ในสมาร์ตโฟนด้วย
บทความจาก Huffington Post ยังระบุอีกว่า Facebook อาจจะต้องการ Permission จำนวนมากขนาดนี้เพราะว่าพยายามที่จะเชื่อมต่อผู้ใช้งานเข้ากับผู้คนใน contact list เพื่อให้การสื่อสารเป็นไปได้ง่ายขึ้น แต่ปัญหาของ Facebook Messenger คือมันไม่ได้ช่วยสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ในการแชทเลยแม้แต่น้อย (แล้วเราก็ยังมีแอปแชทอื่นๆ ที่คุ้นเคยมากกว่าตั้งหลายแอปให้เลือกใช้) และมันจะง่ายกว่านี้เมื่อมันสามารถใช้งานได้ใน Facebook โดยตรง
ดูกันต่อไปยาวๆ Facebook จะทำอะไรต่อไป เมื่อกระแสต่อต้าน Messenger มาแรงซะขนาดนี้ จะว่าไปก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่าเราอนุญาตให้แอปมันมีบทบาทขนาดนี้ ไม่เคยอ่านแบบละเอียดเลยจริงๆ T___T
ที่มา : Business Insider