Site icon Thumbsup

Facebook เปิดตัว News Feed รูปแบบใหม่ที่เน้นแสดงผลและการใช้งานที่ดีขึ้น

FBLive11

กลางดึกของวันที่ 8 ตามเวลาประเทศไทยทาง Facebook ได้จัดงานเปิดตัว News Feed รูปแบบใหม่ ที่เตรียมออกมาจะให้ได้ใช้งานกันหลังจากที่ครั้งก่อนเปิดตัว Graph Search?ไป ลองมาดูกันว่ามีการเปลี่ยนแปลงกับหน้าต่างที่คนส่วนใหญ่ใช้เวลาไปกับมัน ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้างครับ

สำหรับสิ่งที่ทาง Facebook ให้ความสำคัญกับการแถลงข่าวในครั้งนี้มี 3 ส่วนสำคัญ ได้แก่ การให้ความสำคัญกับการแสดงผลภาพมากขึ้น, การจัดระเบียบประเภทของข้อความบนหน้า News Feed และการออกแบบหน้าจอให้แสดงผลเหมือนกันไม่ว่าจะใช้งานในที่ไหนก็ตาม

การแสดงผลของรูปภาพและข้อความต่างๆ บน News Feed ใหม่นี้จะที่มีขนาดใหญ่ขึ้นและแทรกข้อความให้ไปลงในรูปภาพด้วยเลย รวมทั้งการแสดงผลเมื่อเราใส่ URL ของเว็บไซต์ลงไป ก็จะมีการแสดงรายละเอียดด้วยขนาดตัวอักษรที่ใหญ่ขึ้นและหากมีการระบุตำแหน่งสถานที่ ก็จะบอกตำแหน่งบนแผนที่อย่างชัดเจน


ส่วนการเพิ่มชื่อ จากเดิมที่เราจะเห็นเฉพาะรูปของคนนั้น ตอนนี้จะมีทั้งรูป Cover Photo จากหน้า Profile ของเรามาด้วย

ต่อมาการออกแบบหน้าจอที่ใช้งาน ซึ่งปกติแล้วที่ใช้งานผ่านหน้าเว็บเบราวเซอร์กับบนอุปกรณ์พกพาต่างๆ นั้นจะมีความแตกต่างกันในการแสดงผล แต่สำหรับในครั้งนี้หน้าจอจะถูกออกแบบให้มีลักษณะการแสดงผลที่คล้ายกันหรือบอกได้ว่าแทบจะเหมือนกันก็ว่าได้ เพื่อลดความสับสนและเพิ่ม User Experience ให้กับผู้ใช้งานได้ไปในตัว

และสำหรับหน้าจอใน News Feed นั้น เราสามารถที่จะเลือกสิ่งที่เราสนใจเพื่อมาแสดงผลได้ด้วยตัวเอง โดยจะแบ่งตามกลุ่ม ตัวอย่างเช่น

ซึ่งก็หมายความว่า เราสามารถที่จะเลือกรับชมและอ่านจากสิ่งที่เราสนใจเพียงเท่านั้น ไม่ต้องทนกับปริมาณข้อความจำนวนมากที่ส่งมาอยู่เรื่อยๆ นั่นเอง

ทั้งหมดนี้ก็เป็นสิ่งที่ทาง Facebook ได้ออกมาพูดถึงว่าจะเกิดขึ้นกับทุกหน้าจอของทุกคนเร็วๆ นี้ สามารถเข้าไปคลิกเพื่อรอเป็นกลุ่มคนใช้งานกลุ่มแรกได้ที่นี่ครับ

สำหรับมองในแง่นักการตลาดดิจิตอลแล้วคงเป็นห่วงเรื่องคงไม่พ้นการทำโฆษณากับรูปแบบใหม่นี้แน่ๆ แต่ก็น่าจะแอบยิ้มได้หน่อยเพราะการที่รูปใหญ่ขึ้น นั่นก็หมายความว่ารูปที่เราลงโฆษณาไปนั้นก็(ควรจะ)ใหญ่ขึ้นตามไปด้วย… เดี๋ยวทาง thumbsup จะมีบทวิเคราะห์ผลกระทบในด้านนี้มาให้อ่านกันแน่นอนเร็วๆ นี้ครับ

แถมด้วยวิดิโอเบื้องหลังแนวคิดในการปรับปรุง News Feed ครั้งนี้จากทีม Facebook ครับ

http://www.youtube.com/watch?v=YaQQHYQHnMk

ที่มา: Facebook Newsroom