Facebook นอกจากจะกำลังโตวันโตคืนแล้วในแง่ของความนิยมและจำนวนผู้ใช้แล้ว ความสนใจจากนักลงทุนและรายได้ก็กำลังเติบโตอย่างสวยงามด้วยเช่นกัน แต่แล้ว Facebook อาจจะต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ทำให้บริษัทต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขของคณะกรรมาธิการควบคุมการซื้อขายแลกเปลี่ยนหลักทรัพย์ก่อนถึงเวลาที่วางแผนไว้ก็ได้ หนึ่งในสิ่งที่จะตามมาก็คือ การเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์เร็วขึ้นกว่าเดิม…
Mark Zuckerberg เคยพูดไว้หลายครั้งเกี่ยวกับความต้องการเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ว่าตัวเขาเองยังไม่ต้องการรีบเร่งใดๆและต้องการให้ความสำคัญไปที่การพัฒนา Facebook ให้เป็นไปในแบบที่ต้องการก่อน แต่เราก็จะได้เห็นข่าวการเข้ามาลงทุนใน Facebook ของนักลงทุนทั้งรายเดิมและรายใหม่อยู่เป็นระยะๆ ล่าสุดก็คือยอดลงทุนกว่า 450 ล้านเหรียญจาก?Goldman Sachs Group Inc. และกองทุนที่บริษัทดูแลอยู่ ซึ่งนั่นจะทำให้ Facebook มีมูลค่าบริษัททะยานขึ้นไปถึง 50,000 ล้านเหรียญเลยทีเดียว
ในขณะที่ยังมีเม็ดเงินลงทุนเข้ามาอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่ตามมาก็คือการที่ Facebook กำลังจะมีจำนวนผู้ถือหุ้นครบ 500 ราย และนั่นจะเป็นจุดเปลี่ยนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ของบริษัท เพราะตามกฎของคณะกรรมาธิการควบคุมการซื้อขายแลกเปลี่ยนหลักทรัพย์ระบุว่าบริษัทจะต้องเปิดเผยตัวเลขทางการเงินสู่สาธารณะและต้องเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์เพื่อเปิดให้มีการซื้อขายหุ้นได้ จึงเป็นที่คาดการณ์ว่าบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งนี้น่าจะเริ่มกระจายหุ้นได้ในปี 2012 หรือปีหน้านี่เอง
อย่างไรก็ดี ก่อนที่จะเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์เพื่อกระจายหุ้น เราลองมาดูว่ารายชื่อผู้ถือหุ้นหลักของ Facebook มีใครกันบ้างก่อนที่ Goldman Sachs จะเข้ามามีส่วนร่วม (ข้อมูลเดือนพฤษภาคม 2010 จาก Business Insider)
- Mark Zuckerberg: 24%
- Accel Partners: 10%
- Digital Sky Technologies: 10%
- Dustin Moskovitz: 6%
- Eduardo Saverin: 5%
- Sean Parker: 4%
- Peter Thiel: 3%
- Greylock Partners: ~1.5%
- Meritech Capital Ventures: ~1.5%
- Microsoft: 1.3%
- Li Ka-Shing: 0.75%
- Interpublic Group: <0.5%
- Adam D’Angelo, Matt Cohler, Jeff Rothschild, Chris Hughes and?Owen Van Natta: <1%
สิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอนหลังจากที่ Facebook เข้าตลาดหุ้นก็คือแรงกดดันจากผู้ถือหุ้นและมาตรการอื่นๆของตลาดหลักทรัพย์ที่จะเข้ามามีบทบาทต่อทิศทางของ Facebook รวมถึงความคล่องตัวในการบริหารจัดการ นั่นเป็นสิ่งที่ Mark Zuckerberg เองพยายามที่จะหลีกเลี่ยงหรือถ่วงเวลาให้นานที่สุดตลอดมา การที่ Facebook กลายเป็นบริษัทมหาชนจะทำให้บริษัทต้องหันมาให้ความสำคัญกับการสร้างรายได้และกำไรมากขึ้นกว่าเดิม เป็นที่น่าจับตามองว่าผู้บริหารหนุ่มที่มีความเป็นตัวเองค่อนข้างสูงรายนี้จะพาบริษัทที่ร้อนแรงแห่งนี้มุ่งหน้าไปทางใดต่อไป
ที่มา:?PCMag.com