ต้องบอกว่าเป็นโฆษณาแนวคิดแปลกที่แหวกแนวนอกธรรมเนียมโฆษณาบนเครือข่ายสังคมมากทีเดียว เมื่อ Facebook ประกาศทดสอบการทำงานของหน่วยธุรกิจโฆษณาใหม่ซึ่งถูกเรียกว่า “missed call ad unit” งานนี้ Facebook ประเดิมตลาดที่อินเดียก่อนเป็นเจ้าแรก เพื่อสาธิตว่า Facebook สามารถนำพฤติกรรมเฉพาะกลุ่มของผู้ใช้ในบางประเทศมาทำเงินในธุรกิจโฆษณาได้จริง
หลักการของ “missed call ad” คือการเสนอรูปแบบโฆษณาที่เข้ากับพฤติกรรมสุดฮิตของชาวอินเดีย ซึ่งเป็นตลาดกำลังเติบโตหรือ emerging market อันดับ 1 ของ Facebook พฤติกรรมดังกล่าวคือชาวอินเดียที่มักใช้วิธีสื่อสารผ่านโทรศัพท์มือถือด้วยการ missed call
ชาวอินเดียส่วนใหญ่นั้นมองว่าค่าบริการโทรศัพท์และข้อมูลสำหรับใช้อินเทอร์เน็ตบนอุปกรณ์พกพามีราคาแพง ดังนั้นหลายคนจึงหันมาใช้วิธีโทรศัพท์แล้ววางสายเพื่อให้เกิดเป็นสายที่ไม่ได้รับหรือ missed call การส่งสัญญาณลักษณะนี้ทำให้เพื่อนหรือครอบครัวสามารถรับทราบเมื่อเห็นสาย missed call ว่าต้องการให้โทรกลับ หรือต้องการบอกให้ปลายสายรู้ว่ากำลังเดินทางไปพบ ทั้งหมดนี้ทำให้ชาวอินเดียสามารถสื่อสารได้อย่างประหยัดยิ่งขึ้น
เมื่อทราบเช่นนี้ Facebook จึงนำเสนอหนทางใหม่ที่นักการตลาดจะสามารถสื่อสารกับชาวอินเดียผ่านวิถี missed call บ้าง วิธีการคือระบบจะแสดงสาย missed call ให้นักโฆษณาของแบรนด์ได้เห็นทันทีที่ชาวอินเดียลงมือคลิกที่โฆษณา จากนั้นแบรนด์จะส่งคอนเทนต์หลากรูปแบบกลับไปให้ผู้ใช้ จุดนี้สามารถทำได้ทั้งเพลง ข้อมูลรายงานผลแข่งขันกีฬา หรือข้อความพิเศษจากเซเลบ ซึ่งการรับข้อมูลเหล่านี้จะไม่ทำให้ผู้ใช้เสียค่าบริการข้อมูลเพิ่มเติมใดๆ
Facebook ระบุว่าผู้ผลิตสินค้าความงามอย่าง Garnier จะเป็นแบรนด์ที่ร่วมทดสอบรูปแบบโฆษณาใหม่นี้ คาดว่าจะได้รับเสียงตอบรับอย่างดีจากชาว Facebook ในอินเดียที่มีจำนวนมากกว่า 100 ล้านคน จุดนี้รายงานระบุว่า ราว 66% ของชาวอินเดียใช้งานเครือข่ายสังคมผ่านฟีเจอร์โฟน ไม่ใช่สมาร์ทโฟน
ทั้งหมดนี้ เคลลี แมคลีน (Kelly MacLean) ผู้จัดการฝ่ายการตลาดผลิตภัณฑ์ของ Facebook ให้ความเห็นว่าในประเทศที่มีอัตราเติบโตการใช้งานสูง Facebook จำเป็นต้องสร้างสรรค์การสื่อสารรูปแบบใหม่ จุดนี้คาดว่าหากโครงการนี้สำเร็จ Facebook อาจนำรูปแบบธุรกิจโฆษณานี้ไปใช้กับตลาดฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นประเทศที่มีชาว Facebook มากกว่า 69 ล้านคน โดย 71% ใช้งาน Facebook ผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ธรรมดาที่ไม่ใช่สมาร์ทโฟน
ที่มา : VentureBeat