Facebook กำลังทดสอบการแสดงป๊อปอัพใหม่ในอุปกรณ์ iPhone และ iPad เพื่อให้ข้อมูลผู้ใช้เกี่ยวกับประโยชน์ของการเก็บข้อมูลส่วนบุคคล ต่อต้านนโยบายปกป้องความเป็นส่วนตัวในอัปเดต IOS 14 ของ Apple
จากก่อนหน้านี้ที่ Apple เตรียมใช้การแจ้งเตือนความเป็นส่วนตัว (privacy notifications) ทำให้ผู้ใช้บางส่วนอาจปฏิเสธที่จะให้ระบบใช้เครื่องมือเพื่อกำหนดกลุ่มเป้าหมายโฆษณา ซึ่งส่งผลให้แพลตฟอร์มต่างๆ จะไม่สามารถ Personalize Ads และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพเหมือนเดิม
ด้าน มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ซีอีโอของเฟซบุ๊ก ออกมาตอบโต้ว่านโยบายดังกล่าวจะสร้างผลกระทบเชิงลบให้กับธุรกิจขนาดเล็กที่พึ่งพาระบบโฆษณาของแพลตฟอร์ม รวมไปถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในปี 2021
นอกจากนี้ในเดือนธันวาคมปี 2020 เฟซบุ๊กได้ซื้อโฆษณาลงในหนังสือพิมพ์ New York Times, the Washington Post และ the Wall Street Journal รวมถึงพื้นที่ในแพลตฟอร์มของพวกเขาเอง ตีพิมพ์แถลงการณ์ยืดหยันต่อสู้กับ แอปเปิล เพื่อผู้ประกอบการธุรกิจขนาดเล็กหรือ SMEs ทั่วโลก
ในช่วงปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา ซัคเคอร์เบิร์ก ได้ขนานนาม Apple ว่าเป็นคู่แข่งที่ใหญ่ที่สุดของพวกเขา
“Apple ใช้จุดยืนความแข็งแกร่งของระบบนิเวศในการสกัดกั้นแอปฯ ของเรา ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจที่กำลังเติบโตหลายล้านรายทั่วโลก และเราจะเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนในการอัปเดตระบบปฎิบัติการ IOS 14 นี้”
ในเวลาต่อมา ทิม คุก ซีอีโอของแอปเปิล ได้เข้าร่วมสัมมนา Data privacy ที่ Brussels และออกมาตอบโต้ว่า
“ถ้าเรายอมรับว่าทุกสิ่งในชีวิตเรา (รวมถึงข้อมูล) สามารถขายได้ เช่นนั้นแล้วเราจะสูญเสียมากกว่าข้อมูลเพราะนั่นหมายถึงการสูญเสียเสรีภาพความเป็นมนุษย์”
“การดำเนินธุรกิจที่เกิดขึ้นจากการชี้นำผู้ใช้งาน แสวงหาประโยชน์จากข้อมูล โดยไม่มีทางเลือกให้ผู้ใช้งาน พวกเขาสมควรได้รับการปรับปรุงไม่ใช่คำสรรเสริญ”
อย่างไรก็ตาม ทิม คุก ได้เคยอธิบายไว้ว่า การเฟซบุ๊กยังสามารถติดตามและรวบรวมข้อมูลของผู้ใช้ได้เหมือนเดิม ตราบใดที่ผู้ใช้งานอนุญาตให้ระบบเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลใน IOS 14
การออกมาตอบโต้ของฝั่งแอปเปิลอาจไม่ถูกใจฝั่งแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่างๆ รวมถึงนักการตลาดที่พึ่งพาการยิงโฆษณามากนัก แต่ได้ใจกลุ่มผู้ใช้งานอุปกรณ์ IOS ไปเต็มๆ
จากข้อสังเกตจะเห็นว่าฝั่งที่เชียร์เฟซบุ๊กมีจำนวนไม่มากนัก คาดว่าจะต้องติดตามดูผลกระทบของ IOS 14 หลังจากแอปเปิลตัดสินใจอัปเดตฟีเจอร์ดังกล่าวออกมาอย่างเต็มรูปแบบ ถึงเวลานั้นธุรกิจและเจ้าของเพจต่างๆ อาจจะต้องคิดใหม่ว่าจะเข้าข้างฝั่งไหน
ที่มา